Tuesday, July 10, 2012

ดูละครปิ่นอนงค์ ตอนที่ 1 Pin Anong 偷心俏冤家 01

 >> Wach Online ปิ่นอนงค์ Pin Anong 偷心俏冤家 EP01

ปิ่นอนงค์ ตอนที่ 1 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เสียงระเบิดดังตูมๆๆ ภายในเหมืองหินของจังหวัดทางภาคใต้แห่งนั้น ก่อนจะเห็นหินก้อนใหญ่น้อยกระเด็นกระดอนมาตามแรงระเบิด ฝุ่นสีขาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ระหว่างนั้นปานเทพขับรถโฟร์วีล ตะบึงเข้ามาเบรคจอด แล้วกระโดดลง วิ่งไปหากลุ่มคนงาน       
       ปลอดผู้เป็นพ่อยืนคุมงานหันหลังคุยอยู่กับพงษ์หัวหน้าคนงาน
       “พ่อ พ่อ” ปานเทพเรียกแทบเป็นตะโกน ท่าทีร้อนใจ
       ปลอดหันมาทางเสียง ฉุนขึ้นมาทันที “ไอ้ปาน ทำไมไม่ใส่หมวกวะ สอนไม่รู้จักจำ”
       ปานเทพขัดขึ้น “พ่อ อย่าเพิ่งด่า มีเรื่องด่วน คุณใหญ่อยู่ไหน”




       
      ที่บริเวณท้ายเหมืองเวลานั้น ใหญ่ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาถูกปิดบังเต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้ม ไว้ผมยาวรุงรัง
       ใหญ่กำลังหยิบลูกซองมาบรรจุกระสุน คนงานเหลียวมองใหญ่แล้วเหวี่ยงเป้าบินขึ้นไป ใหญ่ประทับตาแนบปืน เล็งแลตามเป้า มือลั่นไก เสียงดังเปรี้ยง ถูกเป้ากระจาย
       เป้าอันใหม่ถูกดีดขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่อง ใหญ่ ยิงเปรี้ยงๆ ถูกเป้าหมด จังหวะหนึ่งใหญ่เดินกลับมาบรรจุกระสุนใหม่
       หูของชายหนุ่มยินเสียงฝีเท้าย่ำใบไม้ดังกรอบแกรบ ใหญ่หันปลายปืนไป กลายเป็นปานเทพถือ หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเดินเข้ามา ร้องตะโกนบอก
       “เฮ้ย.....อย่า ฉันเอง”
       ปานเทพยกมือห้าม ท่าทีหวั่นกลัว
       “รอเดี๋ยว เหลือชุดสุดท้ายแล้ว” ใหญ่บอก
       แต่ปานเทพไม่ฟัง “เป้าบินน่ะ เอาไว้ก่อน ตอนนี้แกมีเรื่องสำคัญกว่าต้องจัดการ”
       ใหญ่ชะงัก ปานเทพรีบยื่นนสพ.ให้ ใหญ่หยิบมาดู ปานเทพรีบบอกจากพาดหัวข่าว
       “ศาลรับคำร้องขอให้แกเป็นบุคคลสาบสูญแล้ว”
       ใหญ่อึ้ง ปลอดเดินตามเข้ามาถึงพอดี
       “พวกนั้นมันร้ายกว่าที่เราคิด ผมว่าเรารอไม่ได้แล้วนะ คุณใหญ่”
       ใหญ่โยนหนังสือพิมพ์ทิ้งตรงหน้า
       “งั้นก็คงถึงเวลา คิดบัญชีซะที”
       ใหญ่พยักหน้า คนงานดีดเป้าขึ้น ใหญ่ยิงเปรี้ยงๆๆๆ แม่นราวจับวางทุกเป้า
       จากสภาพการณ์ หากเป็นคนไม่รู้จักคงคิดไปเองว่ากลุ่มของใหญ่เหมือนพวกวายร้ายไม่ผิด
       
       มองจากมุมสูงเห็นวิวทิวทัศน์สวยงาม ร่มรื่น ไปทั่วทั้งอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของไร่ไพศาล หรือ ไพศาลรีสอร์ท แอนด์ ฟาร์ม เวลานั้นปิ่นอนงค์ขี่จักรยานมาตามทางใบหน้าแย้มยิ้มเบิกบาน หญิงสาวซึมซับรับเอาบรรยากาศสองข้างทางที่เป็นทุ่งดอกไม้สวยงาม สลับกับทุ่งหญ้าเขียวขจี
       ปิ่นอนงค์ยิ้มแย้มมีความสุขสุดๆ เท้าออกแรงถีบจักรยาน ตะกร้าด้านหน้ามีดอกไม้ใส่จนเต็ม ผ่านหมู่คนงาน
       เปี๊ยกกับหวานผู้เป็นเมียรดน้ำต้นไม้อยู่ ปิ่นอนงค์ตะโกนบอก ขณะถีบจักรยานไป
       “พี่เปี๊ยก พี่หวาน คุณนะจะกลับมาแล้ว”
       หวาน กับเปี๊ยกมองตาม
       
       ปิ่นอนงค์ขี่จักรยานมาผ่านฝูงแกะ ตรงลานเลี้ยงแกะ ร้องบอกเสียงหวาน ราวกับพวกมันจะรู้เรื่อง
       “แกะจ๋า คุณนะกำลังจะกลับบ้านแล้ว ได้ยินมั้ย”
       ไม่เท่านั้นปิ่นอนงค์ยังตะโกนร้องบอก ฝูงม้า ฝูงวัวไปตามทางอย่างร่าเริงและมีความสุข
       
       เวลานั้นจอมหนุ่มรูปงาม ลูกชายของถวิลอยู่ที่คอกม้า ชายหนุ่มถอดเสื้อโชว์กล้ามเพราะอากาศร้อน กำลังให้หญ้าสัตว์กิน
       จอมหันมาเห็นปิ่นอนงค์ที่ขี่จักรยานมาโดยไม่ทันได้ดูว่ามีก้อนหินหรือขอนไม้ขวาง จักรยานสะดุด
       จอมตะโกนบอกเสียงดัง “ระวัง ปิ่น”
       แต่ไม่ทันแล้ว จอมวิ่งกระโจนไปรับปิ่นอนงค์ที่กระเด็นลงจากจักรยานได้พอดี แต่ตัวของจอมเลยไปกระแทกหินเต็มแรง
       ปิ่นอนงค์หน้าตาตื่น ตกใจ “โอย ตายแล้ว จอม เจ็บมั้ย”
       “ไม่หรอก ปิ่นล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
       จอมห่วงปิ่นอนงค์มากกว่าตัวเองเสมอ เพราะชายหนุ่มแอบรักแอบชอบปิ่นอนงค์
       ปิ่นอนงค์ส่ายหน้า “ปิ่นซุ่มซ่ามเอง มัวแต่ดีใจที่คุณนะจะกลับมา ได้ยินมั้ยจอม คุณนะจะกลับมาอาทิตย์หน้าแล้ว” หญิงสาวเขย่าแขนจอมอย่างดีใจ
       
       ภายในห้องครองสุขบนเรือนหลังใหญ่ รูปคู่ของไพศาลกับครองสุข เด่นหราอยู่ที่ผนังห้อง
       เสียงครองสุขดังขึ้นมาก่อนจะเห็นตัว กำลังคุยมือถือกับใครคนหนึ่งอยู่
       “ค่า ก็ตาทรรศนะหลานชายของสุขนั่นแหละค่ะ”
       ครองสุขผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยนัก คุยต่อ
       “แกเรียนจบโทแล้ว โอ๊ย ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งด้วยนะคะ แน่นอนต้องเชิญคุณพี่มาฉลองใหญ่แน่ๆ อะไรนะคะ”
       ธีระชู้รักเข้ามาซุกไซ้นัวเนียไม่ยอมห่าง ครองสุขผลักเขาออกไป ชะงักนิ่ง สีหน้าเปลี่ยนเมื่อฟังความจากปลายสาย
       “แหม เงินแค่ห้าหมื่น สุขไม่ลืมหรอกค่ะ ก็แค่ตอนนี้ยุ่งๆหลายเรื่อง แล้วสุขจะโอนให้ แค่นี้นะคะ”
       ครองสุขกดมือถืออาการเซ็งๆ น้ำเสียงจ๊ะจ๋าเปลี่ยนไปทันควัน
       “หนอย อุตส่าห์เชิญมางานมงคล ดันมาทวงเงิน เสียฤกษ์แต่เช้า”
       “จะไปสนใจอะไร อีกหน่อย พอไร่ไพศาลเป็นของพี่อย่าว่าแต่ ห้าหมื่น ห้าสิบล้านยังกระจอก” ธีระพูดเอาใจ
       ครองสุข หงุดหงิด “แล้วเมื่อไหร่ ศาลจะมีคำสั่งซะที ตานะกำลังจะกลับมาแล้ว พี่ไม่อยากให้คู่หมั้นตานะมาดูถูกเราได้”
       “สิบห้าวัน กะพริบตาทีเดียวก็ถึงแล้ว ถ้าไอ้ใหญ่มันไม่โผล่หัวกลับมานะ” ธีระว่า
       ครองสุขเสียงแข็งทันทีที่ได้ยินชื่อใหญ่
       “ไม่มีทาง คนเลวสันดานโจรอย่างมัน ป่านนี้ถูกตำรวจยิงตายไปแล้ว” ครองสุขหันไปมองรูปไพศาลที่ผนัง “ต่อไปนี้ทายาทของไร่ไพศาลคือตานะคนเดียวเท่านั้น”
       ธีระไม่ค่อยพอใจนัก แต่ปั้นยิ้ม เข้ามาคลอเคลีย เสียงหวาน “อย่าลืมรางวัลของผมแล้วกัน”
       “เธอเป็นมือขวาของพี่ ต้องได้รางวัลชิ้นใหญ่อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ผู้จัดการใหญ่”
       เสียงเคาะประตูถี่ๆ ธีระผละตัวเองออก ทั้งคู่จัดเสื้อผ้า ธีระ คว้าแฟ้ม นั่งวางมาดอยู่ที่โซฟา ครองสุขเดินไปเปิดเห็นอุ่นเรือนรออยู่
       ครองสุขต่อว่าไม่พอใจนัก “จะเคาะอะไรนักหนา นังอุ่น ฉันกำลังปรึกษางานกับคุณธีระอยู่”
       อุ่นเรือนอึกอัก
       
       ปิ่นอนงค์ยังคงเริงร่าเดินเข้ามาที่ต้นปีบต้นสูงใหญ่ริมลำธารสวย ที่ออกดอกเต็มต้น
       “ต้นปีบจ๋า เธอจะได้เจอเจ้าของตัวจริงแล้วนะ”
       ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดของหญิงสาว
       เช้าวันนั้นที่ริมลำธารแห่งนี้ ยังไม่มีต้นปีบยืนต้นเหมือนในวันนี้
       
       ทรรศนะวัย 14 ปี เดินเข้ามาหาปิ่นอนงค์ที่ตอนนั้นอายุเพียง 10 ขวบ มือทั้งสองข้างไขว้หลัง ซ่อนของบางอย่างไว้
       ซึ่งหากมองจากด้านหลังของหนุ่มน้อย จะเห็นว่าข้างหนึ่งเขาแอบถือกระถางเล็กๆ ที่ปลูกชำต้นปีบสูงประมาณหนึ่งฟุต กับผ้าเช็ดหน้าห่อดอกปีบสีขาวในมืออีกข้าง
       ทรรศนะยิ้มกว้าง เอากระถางต้นปีบยื่นส่งให้ปิ่นอนงค์ พร้อมห่อผ้าเช็ดหน้า
       “สุขสันต์วันเกิดนะปิ่น นี่ต้นปีบกับดอกของมัน พี่ให้ปิ่นเป็นของขวัญวันเกิด”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มแต้ถือกระถางมือหนึ่ง อีกมือยกห่อผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาดม
       “หอมจังเลยค่ะคุณนะ ขอบคุณมากค่ะ”
       ทรรศนะพูดเรื่องเปื่อยประสาเด็ก ไม่ได้จริงจังอะไร
       “ขอบคุณอย่างเดียวไม่พอ เธอต้องดูแลต้นปีบต้นนี้ให้ดี ให้มันสูงใหญ่แข็งแรง เพราะมันคือต้นไม้ของเราสองคน”
       “ได้ค่ะ ปิ่นจะดูแลให้มันโตเร็วๆออกดอกเยอะๆ เพราะมันคือต้นไม้ของเราสองคน”
       สองคนสบตากันยิ้มอย่างมีความสุข
       
       เสียงจอมที่เข็นปุ๋ยเข้ามาริมลำธารดึงปิ่นอนงค์กลับมาจากวันวาน
       จอมถามงงๆ “ใส่ปุ๋ยต้นปีบนี่เหรอปิ่น”
       “จ้ะ ปิ่นอยากให้มันออกดอกเยอะๆ ตอนคุณนะกลับ”
       จอมยังสงสัยไม่หาย “แต่ว่าผู้ชายจะชอบดอกไม้เหรอปิ่น”
       “ชอบซิ” หยิบปุ๋ยมาถุงหนึ่ง “คุณนะเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี ชอบต้นไม้ ดอกไม้ที่สุด ไม่เหมือนกับ...” ปิ่นอนงค์ทอดคำค้างไว้ นึกไปถึงใหญ่ขึ้นมา
       จอมรอฟังอย่างสงสัย “ไม่เหมือนใคร
       “ไม่มีอะไรจ้ะ มา ช่วยกัน”
       ปิ่นอนงค์แกะถุงปุ๋ย เตรียมจะใส่ เห็นน้อยวิ่งเข้ามาหา
       “พี่ปิ่น พี่ปิ่นมาอยู่นี่เอง หาแทบแย่” น้อยหอบแฮกๆ
       “ว่าไง น้อย”
       น้อยรีบบอก “พายุลงที่เรือนใหญ่ พี่รีบไปเหอะ”
       
       ครองสุขวีนแตก ด่าแหลก อยู่ในโถงเรือนใหญ่ อุ่นเรือนนั่งซีด ธีระอยู่ด้วย 
       “อะไรกันชั้นให้เงินแกไปตั้งเยอะตั้งแยะ แกไปใช้ยังไงถึงหมด เอ๊ะๆ...หรือว่าแกอมเงินชั้น ยักยอกเงินชั้น”
       “อุ่นไม่ได้ทำอย่างนั้นนะคะ คุณนาย....เอ้อ...คุณนายไม่ได้ให้เงินค่าใช้จ่ายในบ้านมาสองสามเดือนแล้ว นี่อุ่นก็เจียดเงินเดือนของอุ่นมาซื้อนะคะ”
       ครองสุขชี้หน้า “นังอุ่น นี่แกมาพูดลำเลิกบุญคุณกับชั้นเหรอ..ฉันเลี้ยงแกสองแม่ลูกมานานเท่าไหร่ หา”
       ปิ่นอนงค์วิ่งมาหน้าตาตื่น น้อยตามมาติดๆ
       “มีเรื่องอะไรกันคะ” ปิ่นอนงค์ถาม
       ครองสุขหันมาเล่นงานปิ่นอนงค์แทน
       “อ้อ ฉันรู้แล้ว แกคงจะเอาเงินเดือนที่ฉันให้ไปเลี้ยง ผู้ชายซินังปิ่นหายไปในไร่บ่อยๆอย่างงี้ บอกซะก่อนนะว่าอย่ามาท้องโตให้ขายหน้าฉัน”
       “ช่วงนี้ปิ่นต้องรีบตกแต่งห้องคุณนะ แล้วก็ไปเลือกต้นไม้ที่จะมาลงตรงระเบียงตามคำสั่งคุณนายค่ะ”
       ธีระแทรกขึ้น “ผมก็ได้ยินพี่สั่งปิ่นนะครับ”
       “หุบปากไม่ต้องมาออกรับแทน” ครองสุขด่าธีระ หันมาทางปิ่นอนงค์ “งานที่ฉันสั่งแกต้องทำให้เสร็จ แล้วก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องเงินกับฉันอีกถ้าอยู่บ้านนี้มันลำเค็ญนัก แกสองคนก็ไสหัวไปอยู่ที่อื่นเลย ไป”
       ครองสุขเดินกลับขึ้นไปข้างบนทันที ธีระเข้ามาจับบ่าปิ่นอนงค์ ทีท่าแต๊ะอั๋งเห็นๆ ปิ่นอนงค์เบี่ยงหนี
       “คุณนายก็เป็นอย่างนี้แหละ โกรธง่ายหายเร็ว อย่าถือสาเลยนะ เรื่องเงินเดือนแม่อุ่น เดี๋ยวฉันจะดูให้”
       “ขอบคุณค่ะ”
       ธีระเดินไปแล้ว ปิ่นอนงค์ถอนหายใจ แล้วหันไปเห็นอุ่นเรือนที่หน้าซีด ทำท่าจะเป็นลม
       "แม่" ปิ่นอนงค์ร้องเรียกด้วยความตกใจ

-----------------------------------------------------------------------------

  สองคน ปิ่นอนงค์กับน้อยประคองอุ่นเรือนเข้ามานั่งในห้องพักของปิ่นอนงค์
       
       “หมู่นี้แม่เป็นลมบ่อย ปิ่นว่าไปหาหมอดีมั้ยจ๊ะ”
       “เอ๊ะก็บอกว่าไม่เป็นไร กินยาลมแล้วเดี๋ยวก็หาย งานมีตั้งเยอะแยะ จะมามัวป่วยอยู่ได้ยังไง” อุ่นเรือนเอ็ดเอา
       “งานน่ะประเคนมาให้ทำจัง แต่เงินไม่ให้ แถมยังมาโมโหใส่ ถามจริง ป้ากับพี่ปิ่นรับใช้แกมาได้ไงตั้งนาน เป็นฉันเผ่นไปนานแล้ว” น้อยบ่นอุบ
       “น้อย คุณนายท่านมีภาระต้องเลี้ยงคนตั้งมากมาย ท่านก็ต้องเครียดไปบ้าง” ปิ่นอนงค์บอก ไม่ถือสาครองสุขสักน้อย
       “แม่ก็คิดว่าอย่างงั้น ที่นี่มันกว้างใหญ่เหลือเกิน ตั้งแต่คุณไพศาลเสีย คุณนายก็ดูแลอยู่คนเดียว ถ้าคุณนะกลับมาก็คงช่วยได้เยอะ” อุ่นเรือนว่า
       “แต่คุณนะก็เป็นแค่หลานไม่ใช่เหรอป้า แล้วทำไม คุณนายถึงไม่มีลูกกับคุณไพศาล เออ แล้วคุณใหญ่ลูกชายแท้ๆ ของคุณไพศาลหายไปไหน ที่คนงานพูดกันว่า คุณใหญ่ฆ่าคนตายจริงหรือเปล่า”
       น้อยพูดเรื่อยเจื้อย ปิ่นอนงค์รีบอุดปาก
       “หยุดได้แล้วนะ น้อย ถ้าไม่อยากเดือดร้อน อย่าพูดชื่อนี้อีก”
       ปิ่นอนงค์กับอุ่นมองกันอย่างหวาดๆ ราวกับว่าใหญ่จะกลับมาทันใด
       
       วันหนึ่ง ภายในห้องพักของโรงแรมเล็กๆ ในจังหวัดเดียวกับไร่ไพศาล
       ใหญ่กำลังนั่งดูภาพในไอแพด เป็นมุมต่างๆ ของไร่ไพศาล ลักษณะภาพแอบถ่ายความเคลื่อนไหวในไร่
       ภาพคนงานทำงานส่วนต่างๆ ภาพครองสุขยืนรับลมตรงระเบียงในชุดนอน อุ่นเรือนกับน้อย ไปจ่ายตลาดกลับมา จอมอยู่ในฝูงแกะ ภาพเปี๊ยก หวาน และถวิล ปรากฎอยู่ครบครัน
       “สายเราเข้าไปกับรถส่งปุ๋ย ฉันบอกให้เน้นถ่ายพวกคนของไร่ให้ได้มากที่สุดตามทีแกบอก ก็ได้มาเกือบครบ ยกเว้นทรรศนะที่อยู่เมืองนอกใหญ่ คนงานเก่า แทบไม่เหลือ” ปานเทพบอก
       ใหญ่เขม้นมองภาพของธีระที่เดินสั่งงานในไร่ ร้องถามปานเทพ
       “นี่ใคร”
       “รู้สึกจะเป็นผู้จัดการไร่คนใหม่”
       ใหญ่เลื่อนภาพไปเรื่อยๆ
       จนคลิกมาเจอรูปปิ่นอนงค์ หลายท่วงท่า ตอนอยู่กลางสวนดอกไม้ อยู่ในฝูงแกะ นั่งรีดนมวัว มุมสวยงามใหญ่เอานิ้วแตะขยายภาพใหญ่ขึ้น ปานเทพชะโงกดู
       “คนนี้ไม่รู้ใคร สวยชะมัด หรือเป็นยัยทัศนีย์”
       “ปิ่นอนงค์” ใหญ่ยิ้มกริ่ม
       “ฮ้า นี่เหรอ ยัยปิ่นปอดแหกของแก เฮ้ยแล้วแกจำได้ไงวะ ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปี”
       “หน้าแหยๆ แบบนี้ ทั้งไร่มีคนเดียว”
       
       ใหญ่ไม่ยอมบอกว่า จริงๆ แล้ว เขาเคยเจอปิ่นอนงค์ ตอนแอบมางานศพพ่อ และติดใจปิ่นอนงค์ตั้งแต่นั้น ใหญ่ปิดไอแพด โยนคืนให้ปานเทพ แล้วลุกขึ้น
       “ออกไปหาอะไรกินดีกว่า”
       
       ใหญ่ปิดไอแพด โยนคืนให้ปานเทพ แล้วลุกขึ้น
       “ออกไปหาอะไรกินดีกว่า”
       
       วันเดียวกัน ที่ชุมชนโอท็อป ชุมชนแห่งนี้มีลักษณะเป็นเหมือนศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของจังหวัดทั่วไป
       ปิ่นอนงค์เดินเข้าออกร้านรวงต่าง ๆ เดินดูผ้าม่านที่แขวนโชว์อยู่ ปิ่นอนงค์ลองนั่งเก้าอี้ ไม้ และหวายต่างๆ
       ต่อมาปิ่นอนงค์เดินดูโคมไฟของแต่งห้อง รู้สึกถูกใจชิ้นหนึ่งจึงเดินเข้าไปในร้าน
       
       ครู่ต่อมาปิ่นอนงค์หิ้วถุงใส่โคมไฟเดินออกมา ผ่านหน้าร้านกาแฟที่ใหญ่นั่งอยู่ ใหญ่ยกกาแฟจิบค้าง เมื่อเห็นปิ่นอนงค์เดินเข้ามาหยุดยืนรับโทรศัพท์
       “ว่าไงน้อย พี่ซื้อของแต่งห้องคุณนะอยู่ อ๋อ ได้ๆ เดี๋ยวพี่ซื้อเข้าไปให้นะ แล้วมีอะไรหมดอีกไม่เป็นไร พี่ยังพอมีเงิน โอเคจ้ะ”
       ปิ่นอนงค์กดวางสายเดินไปต่อ ใหญ่มองตามแล้วลุกขึ้นออกจากร้านตามปิ่นอนงค์ไป ปานเทพเดินมาจากห้องน้ำด้านหลัง
       “อ้าว คุณใหญ่ ไปไหนแล้ว”
       
       ปิ่นอนงค์เดินหอบของมาเยอะขึ้น เป็นพวกของใช้ กะบุง ตะกร้า ไม้ขนไก่ ไม้กวาดที่น้อยฝากซื้อ มองผ่านไหล่ใหญ่ไป เห็นปิ่นอนงค์เดินอยู่ตรงทางเดิน เท้าใหญ่ขยับเดินตามมา ปิ่นอนงค์รู้สึกสังหรณ์เหมือนมีคนเดินตาม หยุดเดินเหลียวหันไปมอง ใหญ่เองก็หยุดยืนนิ่ง ดูนั่นนี่
       ปิ่นอนงค์เมียงมองตรงโน้น ตรงนี้ ทำหน้าสงสัยว่าจะเป็นใหญ่ที่ตามตัวเองมา ปิ่นอนงค์เดินต่อ หางตาเห็นใหญ่แค่แพลมๆ แต่ไม่เห็นหน้า เดินตามมา ปิ่นอนงค์ทำหน้าสงสัยหยุดเดิน
       ปิ่นอนงค์หันขวับกลับมา เขม้นมอง เห็นแต่ผู้คนเดินกันอยู่ตามปกติ ไม่เห็นใหญ่แล้ว
       
       ปิ่นอนงค์ไม่วางใจรีบเดินแกมวิ่งเร็วรี่ หน้าตาตื่นตระหนก รีบร้อนจนชนเข้ากับยาม ข้าวของ กระเป๋ากระจาย
       “ว้าย”
       “ขอโทษครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณผู้หญิง” ยามถาม
       ปิ่นอนงค์หันมองหน้าตาล่อกแล่กพลางบอก “ยามคะ...มีคนสะกดรอยตามชั้นมาค่ะ”
       ยามกวาดสายตามองไปมา “ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมไปส่งที่รถ”
       ยามช่วยเก็บของ เดินเคียงไป
       ใหญ่ก้าวออกมา ชะงักเห็นกุญแจรถของปิ่นอนงค์ตกอยู่ ใหญ่ก้มเก็บขึ้น ผุดยิ้มร้ายออกมา
       
       ปิ่นอนงค์เดินมาถึงรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถ กองของไว้ แล้วควานหากุญแจ แต่ไม่เจอ
       “กุญแจรถหายไปไหนไม่รู้ค่ะ”
       “ใจเย็นๆ ครับ ค่อยๆ หา”
       “หรือว่าทำตกไปเมื่อกี๊ ฝากของแป็บหนึ่งนะคะ” ปิ่นอนงค์วิ่งกลับไปทางเดิม
       
       เวลาเดียวกันลุงถวิลคนขับรถวัย 50 ปี ถือกุญแจรถเดินเร็วรี่มาที่รถกระบะในที่จอดรถบ้านไร่ ในขณะที่ธีระเดินมาที่รถหรูอีกคัน
       “รู้หน้าที่ดีนี่ กำลังจะไปตามพอดี” ธีระเอ่ยขึ้น
       “ผมไม่ว่าง กำลังจะรีบไป คุณขับไปเองเถอะ” ถวิลบอก
       ธีระฉุนกึก สั่งไม่สนใจ “อะไรวะ อย่างแกมันจะมีธุระอะไรนักหนา เร็วๆ รีบไปสตาร์ทรถ เปิดแอร์ ยิ่งร้อนๆ อยู่ด้วย”
       “ผมขับรถให้คุณไพศาลกับคุณนายเท่านั้น คุณจะไปไหนก็ขับเอง”
       ธีระตบหลังคารถ ชี้หน้าถวิล “แกเป็นใครมาพูดกับชั้นอย่างนี้”
       ทั้งคู่ปรี่เข้าหากันแล้ว ครองสุขตะโกนเสียงดัง เข้ามาห้าม “หยุดเดี๋ยวนี้ มีเรื่องอะไรกัน”
       “ขอโทษครับคุณนาย เผอิญ หนูปิ่นโทรมาว่ากุญแจรถกระบะหาย ขอให้ผมช่วยไปรับ”
       “อ้อ ดีนะ เอารถไปคันหนึ่งยังไม่พอ เรียกราชรถอีกคันไปเกยถึงที่ นังปิ่นมันเป็นเจ้านายแกเหรอไง” ครองสุขประชด จบด้วยเสียงตวาด ถวิลสุดเซ็ง
       
       เย็นย่ำค่ำมากแล้ว ปิ่นอนงค์ยืนอยู่ข้างถนนหน้าชุมชน ถุงใส่ของถูกวางกองข้างๆ ตัว ปิ่นอนงค์ยืนรอรถ พอเห็นรถตุ๊กๆ มา รีบโบกรถ ท่าทีร้อนรน เป็นใหญ่นั่นเองที่ขับรถตุ๊ก ตุ๊กคันเก่าๆ เข้ามาจอด ใหญ่เอี้ยวตัวโผล่หน้าออกมา ปิ่นอนงค์มองอย่างกลัวๆ คลับคล้าย คลับคลาว่าเคยเห็น
       ใหญ่ร้องถาม “จะไปไหนคุณ”
       “ไป...ไปไร่ไพศาล” ปิ่นอนงค์ยังมีทีท่าหวาดหวั่นไม่หาย
       “ก็ขึ้นมาสิ มา...เดี๋ยวช่วยขนของใส่รถให้”
       ว่าแล้วใหญ่ก็ก้าวออกมาจากรถ สบตากับปิ่นอนงค์จังๆ
       ปิ่นอนงค์เลิ่กลั่กไม่ไว้ใจ “เอ้อ..ไม่...ไม่เป็นไรคุณไปเถอะ เดี๋ยวๆ คนที่ไร่จะขับรถมารับ”
       ใหญ่ถามกวนๆ “อ้าว แล้วโบกรถผมทำไม”
       “ขอโทษๆ”
       ปิ่นอนงค์หลบตา ทำเป็นมองถนนหารถคันใหม่ ใหญ่ขึ้นรถขับออกไป ปิ่นอนงค์หันมองตาม แล้วโบกรถอีกคัน เสียงโทรศัพท์ดัง ปิ่นอนงค์รีบรับโทรศัพท์
       “สวัสดีค่ะลุงหวินเหรอ ถึงไหนแล้วคะ...น้อย” กลายเป็นน้อยโทร.มา ปิ่นอนงค์ตกใจพอได้ฟัง “อะไรนะ แม่เป็นลม...พี่จะหารถกลับเดี๋ยวนี้”
       ปิ่นอนงค์โบกรถลุกลี้ลุกลนไม่มีรถรับจ้างผ่านมาสักคัน ถวิลก็ไม่มารับแล้ว ใหญ่ขับรถตุ๊ก ตุ๊กเข้ามาจอดอีกรอบ แล้วลงรถมาโน้มน้าว
       “ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ นะคุณ ใกล้ค่ำอย่างนี้พวกรถรับจ้าง เค้ากลับบ้าน กลับช่องไปหาลูกหาเมียกันหมดแล้ว ตกลงจะไปรึเปล่า”
       
       ปิ่นอนงค์ไม่พูดโต้ตอบ รีบขนของขึ้นรถ ใหญ่ช่วย แล้วขึ้นขับออกไป
       
       ขณะขับรถตุ๊กตุ๊กอยู่ ใหญ่ลอบมองปิ่นอนงค์ทางกระจกมองหลัง ปิ่นอนงค์สบตาใหญ่ในกระจกมองหลัง ปิ่นอนงค์กระแอมไอ ใหญ่แอบยิ้มมุมปาก
       ปิ่นอนงค์ยื่นตัวเอี้ยวคอ พยายามมองหน้าใหญ่ให้ชัด
       “มีอะไรเหรอครับ แอบมองผมทำไม”
       “เปล่า...แค่สงสัยว่านายเป็นคนแถวนี้รึเปล่า ทำไมไม่ค่อยคุ้นหน้า”
       “อ๋อ...ผมเพิ่งย้ายมา ชอบที่นี่มันเงียบดี คนเคยมีชนักติดหลังอย่างผม มาอยู่แถวนี้ ใครตามหาคงเจอตัวยาก”
       ปิ่นอนงค์ได้ฟังก็นึกกลัวจนหน้าเสีย รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
       “แล้วรู้จักทางไปไร่ไพศาลได้ยังไง”
       “โธ่คุณ ไร่ไพศาลชื่อเสียงโด่งดังจะตายใครๆก็รู้ทั้งนั้นแหละ ทั้งที่ดิน ธุรกิจรวยๆอย่างนี้ ผมชอบนัก คุณคงเป็นลูกสาวเจ้าของไร่น่ะสิ”
       “ปละ...เปล่า ... เป็นลูกจ้าง”
       ใหญ่แอบยิ้มชอบใจนัก ที่เห็นปิ่นอนงค์กลัว
       จู่ๆ ใหญ่ก็หักรถเลี้ยวเข้าทางแยกซ้ายมือ ปิ่นอนงค์สะดุ้งเหลียวกลับไปดู
       “นี่นายเลี้ยวทำไม ทางไปไร่ต้องตรงไปก่อน ไหนว่ารู้จักทางไง”
       “ทางเดิมเค้าปิดซ่อมตั้งแต่เช้าต้องอ้อมไปทางนี้”
       ปิ่นอนงค์ไม่เชื่อ “จะบ้าเหรอชั้นขับรถผ่านตอนสายๆทางยังดีอยู่เลย กลับรถ กลับไปทางเดิมเดี๋ยวนี้”
       
       ความมืดคืบคลานเข้ามา จากเย็นกลายเป็นค่ำมืดแล้ว ใหญ่ขับรถตุ๊กตุ๊กมา จู่ๆ รถเกิดกระตุกๆ แล้วจอดดับที่ข้างทาง ใหญ่เกาหัวแกรกๆ
       “ชั้นบอกให้กลับรถ กลับไปทางเดิม นายจอดรถทำไม”
       ปิ่นอนงค์บ่น พร้อมกับแอบควานมือในกระเป๋าเหมือนหาของบางอย่าง
       “รถเสียคุณ อย่าโวยวายสิ”
       ใหญ่ลงรถนั่งดูเครื่องยนต์เขี่ยนู่นนี่ไปมา
       ปิ่นอนงค์ล้วงได้มีดพับที่พกติดตัว เป็นแบบมีอุปกรณ์อเนกปะสงค์หลายอย่าง รีบซ่อนใส่กระเป๋ากางเกง ปิ่นอนงค์ล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์กด หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นชื่อลุงถวิล
       ปิ่นอนงค์เอาโทรศัพท์แนบหู แอบลับๆล่อๆ ถุงของที่ซื้อมา
       กลายเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติดังมา...ไม่สามารถติดต่อหมายเลขที่ท่านเรียก
       ปิ่นอนงค์ก้มหน้าก้มตากดโทร.ใหม่ คราวนี้จอโทรศัพท์ขึ้นชื่อน้อย
       จู่ๆ ใหญ่โผล่พรวดเข้ามาข้างๆ ปิ่นอนงค์ตกใจจนทำโทรศัพท์หล่นพื้น
       “นี่คุณช่วยเข็นรถหน่อยสิ”
       ปิ่นอนงค์สบตากับใหญ่ กะพริบตาถี่ๆ งงงวย
       
       ครู่ต่อมาบนถนนสายเดิม ปิ่นอนงค์เข็นดันรถเคลื่อนที่ช้าๆ เห็นใหญ่พยายามติดเครื่อง แชะดับ แชะดับ ปิ่นอนงค์เข็นรถจนเหนื่อยหอบ รถหยุดนิ่ง
       ใหญ่เดินมาหาปิ่นอนงค์พลางบอก “สงสัยเครื่องจะพัง”
       “อ้าว...แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะ ชั้นต้องรีบกลับบ้านซะด้วย แม่ไม่สบาย” ปิ่นอนงค์บ่นอุบ
       “แถวนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านมาซะด้วย เอาอย่างนี้ คุณช่วยเฝ้ารถให้หน่อย ผมจะไปตามคนมาช่วย”
       พูดจบใหญ่พูดเดินดุ่มๆ เข้าข้างทางไป
       “อ้าว ทำอย่างนี้ได้ยังไง เดี๋ยวสิ นาย...”
       ปิ่นอนงค์มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง โผเข้าไปที่รถควานหาโทรศัพท์ใต้เบาะที่นั่งไปมา
       สีหน้าปิ่นอนงค์ตกใจตาโต เมื่อล้วงเจอเสื้อที่ม้วนออกมาจากใต้เบาะ เสื้อตัวนั้นเขรอะไปด้วยเลือด ปิ่นอนงค์ดึงชายเสื้อออก เห็นมีดสปาร์ต้าเล่มหนึ่งมีคราบเลือดเขรอะกรังโผล่ออกมา
       ปิ่นอนงค์คว้ากระเป๋าสตางค์ได้ วิ่งกลับไปทางเดิม
       
       ปิ่นอนงค์วิ่งเหลียวหน้า เหลียวหลังมาอีกมุมของถนน ชนกับใหญ่ที่โผล่ออกมาจากข้างถนน ปิ่นอนงค์ถอยตั้งหลัก หวาดกลัว ล้วงมือกำมีดพับในกระเป๋ากางเกง
       “บอกให้เฝ้ารถ มาวิ่งเล่นอะไรแถวนี้”
       ปิ่นอนงค์ชักมีดออกมาแกะท่าทีงกๆ เงิ่นๆ “แกไม่ต้องมาพูด แกเป็นคนร้าย แกจะเอาชั้นมาฆ่าชิงทรัพย์ ถอยไปเดี๋ยวนี้”
       ใหญ่ยิ้มดีใจมองมีด
       “โธ่เอ๊ย มีมีดพับแบบนี้ก็ไม่บอก อุปกรณ์เยอะดีซ่อมรถได้เลยนะนี่ มา...ขอยืมหน่อย”
       ใหญ่ยื่นมือตรงเข้าหาปิ่นอนงค์ ปิ่นอนงค์ตวัดมีดเก้ๆ กังๆ “อย่าเข้ามานะ”
       จังหวะหนึ่งที่ปิ่นอนงค์ตวัดนั้น ดันไปโดนสายสะพายกระเป๋าตัวเองขาด ตกพื้น
       ใหญ่กางมือสองข้างหลอกล่อ ปิ่นอนงค์ตวัดมีดไปมา หลับตาปี๋ มีดโดนมือใหญ่เต็มแรง ใหญ่สะดุ้งร้องลั่น
       “โอ๊ย...”
       ปิ่นอนงค์ลืมตาเห็นใหญ่กุมมือ เลือดไหลติ๋งๆ
       ใหญ่หน้าเครียด ปิ่นอนงค์ชะงัก “อุ๊ย...”
       “เล่นกันถึงเลือดเลยเหรอ”
       
       ไวเท่าความคิด ปิ่นอนงค์ทิ้งมีดวิ่งหนีสุดชีวิต

-----------------------------------------------------------------------------------------

ปิ่นอนงค์วิ่งเหลียวซ้าย แลขวา มองหน้า เหลียวหลังละล้าละลังอยู่ตรงทางสามแยก เห็นรถยนต์คันหนึ่งเปิดไฟสูงกะพริบไฟพร้อมกับบีบแตร เข้ามาจอด       
       ปิ่นอนงค์ตกใจหยุดยืนกำมือแน่น เป็นจินตนาก้าวลงรถมา สีหน้าตกใจมองปิ่นอนงค์อย่างงงๆ
       “ปิ่น ปิ่นอนงค์”
       “จิน” ปิ่นอนงค์ดีใจนัก วิ่งเข้าไปกอดจินตนาแน่น
       
       พอจินตนามาส่งถึงไร่ ปิ่นอนงค์รีบตรงขึ้นไปดูอาการแม่บนเรือนทันที อุ่นเรือนนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ปิ่นอนงค์ห่มผ้าให้ น้อยนั่งอยู่ข้างเตียง
       ปิ่นอนงค์แตะแขนน้อยสีหน้าซาบซึ้งใจ “ขอบใจนะน้อย ที่ช่วยดูแลแม่ให้พี่”
       “โธ่พี่ ป้าอุ่นก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของหนู จะพาไปหาหมอก็ไม่ไป บอกว่ามียาอยู่แล้ว นี่กินยาเสร็จ ก็บ่นเป็นห่วงพี่จนหลับไปเลย” น้อยบอก
       “ดูแม่ให้พี่ก่อนนะ พี่ไปคุยกับเพื่อนก่อน”
       ปิ่นอนงค์เดินออกจากห้องไป น้อยเอนตัวนอนลงข้างเตียง
       
       ปิ่นอนงค์ออกมาที่ระเบียง นั่งลงข้างจินตนาที่พูดโทรศัพท์อยู่
       “ค่ะ...ขอบคุณค่ะ” จินกดวางสายพอดี แล้วหันมาทางปิ่นอนงค์ “ตำรวจเค้าไปตรวจดูที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแล้วไม่เจอหลักฐานอะไรเลย แต่จากรูปพรรณสัณฐานคนร้ายที่เธอบอก เค้าจะพยายามหาตัวมันให้”
       “เสียดายชั้นลืมดูทะเบียนรถมัน แต่ช่างเถอะรอดมาได้เจอกับเธอก็ถือว่าบุญแล้ว ข้าวของเงินทองคิดว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน”
       “มันไม่ใช่เรื่องเคราะห์เรื่องกรรมหรอก มันเพราะว่าเธอไปเจอกับคนชั่วต่างหาก นี่ถ้าชั้นไม่บังเอิญไปฉีดยาให้คอกวัวแถวนั้นนะ ก็ไม่รู้ว่าเธอจะต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรอีก”
       ปิ่นอนงค์เอามือทาบบนมือจินตนาบนโต๊ะ
       “ขอบคุณมากนะจิน ไม่ได้เธอชั้นคงแย่”
       จินตนาเอามืออีกข้างตบบนมือปิ่นอนงค์เบาๆ
       “เรื่องเล็กน้อย ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ปิ่น”
       สองสาวสบตายิ้มให้กัน
       
       ปิ่นอนงค์เดินมาส่งจินตนาที่รถที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน จินตนาเปิดประตูรถแล้ว
       ปิ่นอนงค์บอก “ขับรถดีๆ นะจิน”
       จินตนาชะงัก นึกบางอย่างออก หันมาหาปิ่นอนงค์ “เออ...ปิ่น เกือบลืม ตอนนี้ที่ไร่ไพศาลมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
       “เรื่องอะไรเหรอจินมีอะไร” ปิ่นอนงค์งง
       “บริษัทยาปศุสัตว์ที่ชั้นแนะนำมาให้ที่นี่ เค้าแจ้งมาว่าทางไร่ยังไม่โอนเงินค่ายาไปให้เค้าเลยสามงวดแล้วนะ แล้วสัตว์ในไร่เราก็เยอะซะด้วย” จินตนาบอก
       สีหน้าปิ่นอนงค์ขรึมลง
       “ไอ้โรคเท้าเปื่อยกำลังมาอีกแล้ว จะเอายังไงดีให้ชั้นสั่งยาให้เลยมั้ย”
       “เออ...ชั้นจะถามลุงหวินให้นะ แล้วจะโทร.ไปบอกเธออีกที”
       จินตนาสบตากับปิ่นอนงค์ แล้วโผเข้ากอด ปิ่นอนงค์งง
       จินตนาผละตัวออกมา มองหน้าปิ่นอนงค์ยิ้มๆ
       “ดีใจด้วยนะปิ่น ที่พี่นะของเธอจะกลับมาแล้ว จะได้ไม่ต้องยืนพูดกับต้นไม้คนเดียวเหมือนคนบ้า
       ปิ่นอนงค์ตีแขนจินตนา ยิ้มอายๆ “เธอน่ะสิบ้า”
       จินตนาหัวเราะ ขึ้นรถขับออกไป ปิ่นอนงค์ยิ้มเหม่อมองคิดถึงทรรศนะขึ้นมาอีก
       
       ในเวลาต่อมาปิ่นอนงค์เดินเข้ามาที่ห้องทรรศนะ ตรงมาที่รูปชายหนุ่มบนหลังตู้
       “คุณนะคะ อีกไม่กี่วันเราจะได้พบกันแล้ว ปิ่นดีใจที่สุด ปิ่นรอวันนี้มานานเหลือเกิน ความหวังที่จะได้พบคุณนะเป็นกำลังใจที่ทำให้ปิ่นต่อสู้กับเรื่องร้ายๆทุกอย่างมาได้....ปิ่นจะพยายามแต่งห้องนี้ให้สวยที่สุด เพื่อเป็นของขวัญให้คุณนะ นะคะ”
       
       ในห้องพักของใหญ่เวลานั้น
       มือของใหญ่ที่พันแผลเรียบร้อย ถือกระเป๋าสตางค์ปิ่นอนงค์อยู่ พลิกดูรูปทรรศนะในกระเป๋า แล้วยิ้มเยาะ ใหญ่คลี่กระเป๋าสตางค์เห็นเงินสองพันกว่าบาท จึงวางกระเป๋าสตางค์บนเตียง เห็นข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวปิ่นอนงค์ แป้ง, ลิปสติก, โทรศัพท์, กระเป๋าสะพาย วางอยู่ใกล้ๆ
       ปานเทพเปิดประตูเข้ามาพอดี
       “ไอ้คุณใหญ่ หายไปไหนมาวะ ฉันตามหาจนปวดหัว”
       “ไปปล้นคนมา”
       “ฮ้า” ปานเทพมองข้าวของที่วางเต็มเตียง
       “ฉันเช่ารถรับจ้างในตลาดมา แต่ตอนนี้ต้องจอดทิ้งไว้เพราะตำรวจน่าจะตามหาอยู่ ตำรวจคงไม่เอาผิดเจ้าของรถใช่มั้ย” ใหญ่อดกังวลได้ได้
       ปานเทพงงงวย “เดี๋ยวๆ ฉันงงว่ะ นี่แกทำอะไรของแก”
       “ฉันมันเป็นฆาตกรหนีคดี ก็ต้องแสดงให้สมบทบาทหน่อย” ใหญ่ว่า น้ำเสียงหยันอยู่ในที
       “ใหญ่ ฉันว่าสิ่งที่แกต้องทำคือจัดการเรื่องที่ค้างคาให้เสร็จ” ปานเทพบอก
       “ก็กำลังจัดการอยู่นี่ไง ใจเย็นน่า เพื่อน”
       ใหญ่หงายตัวพิงหัวเตียง
       “รอมาได้ตั้งสิบกว่าปี รออีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก อีกอย่าง ทายาทของไร่ไพศาลจะกลับบ้านทั้งทีต้องให้มันตื่นเต้นอลังการหน่อยสิวะ”
       ใหญ่ผุดรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา
       
       นิคขับรถสปอร์ตมาบีบแตรลั่น ตรงทางเข้าไร่ไพศาลที่มีไม้กั้น ยามวิ่งเข้ามาดูมองๆ กระจกลดลง นิคชะโงกออกมา
       “เฮ้ย เปิดรั้วซิวะ”
       “ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต้องเข้าทางประตูรีสอร์ตครับ”
       “ไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่เป็นเจ้าของ เปิดเร็ว อยากโดนไล่ ออกเหรอวะ” 
       ว่าแล้วนิคลงมา แต่งตัวแบบลูกเสี่ย เด็กแนว ผมสีๆ มึนๆ ยามมองหัวจดตีน
       “มองอะไร มีปัญหาเหรอ” นิคผลักอกยามอย่างขัดใจ
       ยามยอมให้ผลักสองที ทนไม่ไหวจึงผลักตอบ นิคหงายเงิบลงไปนอน โมโหสุดๆ ลุกขึ้นมาจะต่อย จอมวิ่งเข้าไปจับแขนไว้พอดีแล้วผลักไปกระแทกรถ
       “ไอ้ถ่อย พวกแกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร” นิคด่า
       ทัศนีย์ที่หลับๆ อยู่ผงกหัวขึ้นมา นิคจะต่อยอีกแต่ถูกจอมล็อกตัวไว้
       ทัศนีย์เห็นเข้าก็ตกใจ “นิค”
       “ฉันไม่รู้หรอกว่าแกเป็นใครใหญ่มาแต่ไหน แต่แกไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายคนของไร่ไพศาล”
       ทัศนีย์เปิดประตูลงมา “ปล่อยแฟนฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้จอม”
       “คุณนี”
       
       จอมยอมปล่อย ทัศนีย์โกรธจัด ตรงเข้าไปตบจอมสุดแรงจนจอมหน้าหัน
       
       เช้าวันใหม่ ปิ่นอนงค์ถือถาดข้าวต้มกับแก้วนม ดันประตูห้องอุ่นเรือนเข้ามา
       เสียงประตูเปิดออกปลุกอุ่นเรือนที่นอนอยู่ให้รู้สึกตัวตื่น ลุกนั่งแล้วถามปิ่นอนงค์ทันที
       “กี่โมงแล้ว” อุ่นเรือนถาม
       “เจ็ดโมงกว่าแล้วจ้ะ”
       อุ่นเรือนรีบพับผ้าห่ม “ตายจริง สายโด่งป่านนี้ ทำไมไม่ปลุกแม่ หา”
       ปิ่นอนงค์เข้ามาจัดวางข้าวต้ม นมสด แล้วนั่งลงข้างๆ เตียง อุ่นเรือนขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย
       “แล้วยกข้าว ยกปลา เข้ามาทำไม เดี๋ยวแม่ออกไปหากินเองก็ได้ ปิ่น แกนี่ยังไง”
       ปิ่นอนงค์ยิ้ม “ก็แม่ไม่สบายนี่จ้ะ กินข้าวแล้วจะได้กินยา แล้วก็นอนพักผ่อน ร่างกายถึงจะฟื้นตัวเร็ว”
       “แค่เป็นลมธรรมดา อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยน่ะ แล้วเมื่อคืนหายไปเถลไถลที่ไหนมา แม่รอจนรอไม่ไหว”
       “เอ่อ หนูไปหาจินตนาจ้ะแม่ ไหนๆ เข้าเมืองทั้งที เลยแวะไปคุยกับเพื่อนซะหน่อย” ปิ่นปด
       “แล้วข้าวของเครื่องใช้ห้องคุณนะล่ะ เรียบร้อยดีมั้ย”
       คราวนี้ปิ่นอนงค์อึกอัก
       “ทางร้านเค้าจะจัดมาส่งให้ทีหลังจ้ะ แต่ยังไง ปิ่นว่าวันนี้แม่ไปหาหมอดีกว่านะ”
       “เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ นังน้อยมันตื่นตูมไปเอง” อุ่นเรือนเอ็ดเอา
       “ป้าอุ่น พี่ปิ่น” น้อยมาพอดี
       “พูดไม่ทันขาดคำ โวยวายอะไรอีก หา”
       น้อยวิ่งเข้ามาเบรกตัวโก่ง พูดไปหอบไป
       “คุณ...คุณทัศนีย์กลับมาบ้านแล้วจ้ะ” น้อยบอก
       “แล้วจะตื่นเต้นไปทำไมน้อย ก็คุณทัศนีย์เธอจะไปจากบ้านอาทิตย์สองอาทิตย์ แล้วก็กลับบ้านที มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” อุ่นเรือนว่า
       “มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิป้าอุ่น คราวนี้มีเฮแน่ๆ”
       คำพูดมีเลศนัยของน้อย ทำให้ปิ่นอนงค์ กับอุ่นเรือนหันไปสบตากัน
       
       ทัศนีย์อ้อล้ออยู่กับนิคที่โต๊ะตรงระเบียงหน้าเรือนใหญ่ นิค เป็นลูกชายนักการเมือง และเป็นแฟนของทัศนีย์ ซึ่งอยู่ในสภาพเมาทั้งเหล้าทั้งยาตาปรือจะหลับมิหลับแหล่ ข้างๆ โต๊ะ มีกระเป๋าเดินทางชนิดล้อใบใหญ่สองใบวางอยู่
       “อย่าไปถือสา พวกคนงานไร้สมองพวกนั้นเลย นิค เดี๋ยวนีจะให้คุณน้าจัดการลงโทษมันให้”
       ปิ่นอนงค์ น้อย และอุ่นเรือนมาถึง ทัศนีย์มองไปเห็น
       “ดี มากันเยอะๆอย่างนี้จะได้ช่วยกันขนกระเป๋า เอาไปไว้ที่ห้องชั้น”
       อุ่นเรือนส่งสายตามองปรามๆ “ทั้งสองใบเลยเหรอคะ”
       “ก็ใช่นะสิป้าอุ่น ใบนึงของคุณนิค ใบนึงของชั้น แฟนกันก็ต้องอยู่ห้องเดียวกันสิถึงจะถูก จริงมั้ยจ๊ะนิค”
       อุ่นยกมือทาบอก ตกใจ เมื่อเห็นทัศนีย์กับนิคหอมแก้มกันนัวเนียอย่างไม่แคร์สายตาคนอื่นๆ
       “จะดีเหรอคะคุณนี มันจะดูไม่งามนะคะ” อุ่นเรือนพูดเป็นเชิงเตือนสติอีก
       “เอ๊ะ ป้าอุ่น ป้าอุ่นไม่ใช่แม่ชั้นนะ ไม่ต้องมาทำสั่งสอน ไปทำหน้าที่ของตัวเองไปชั้นหิวแล้วโจ๊กสองชาม กาแฟด้วย”
       ทัศนีย์ลุกยืนประคองนิค โงนเงนกันทั้งคู่ “ไปค่ะนิค ไปอาบน้ำอุ่นด้วยกันจะได้ฟื้น”
       น้อยขอความเห็น “เอาไงป้า...”
       “คุณนีนะคุณนี ไม่น่าทำแบบนี้เลย ถ้าคุณนายกลับมารู้เข้า บ้านแตกแน่ๆ เลย” อุ่นเรือนบ่น
       ปิ่นอนงค์เห็นแม่ดูไม่สบายจึงรีบบอก “ไม่เป็นไรจ้ะแม่ เดี๋ยวปิ่นจะลองไปพูดกับคุณนีเอง”
       ปิ่นอนงค์ กับอุ่นเรือนมองสบตากัน
       
       ครู่ต่อมาปิ่นอนงค์เดินมาที่หน้าห้องทัศนีย์ น้อยวิ่งยกมือปิดตาสวนทางไป ปิ่นอนงค์เคาะประตูห้องทัศนีย์ตะโกนออกมาบอก “เข้ามา”
       พอปิ่นอนงค์เปิดประตูเข้ามา ตอนรีบเบือนหน้าหนี ทั้งทัศนีย์กับนิคนุ่งผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำ ขณะที่ทัศนีย์กำลังใส่หมวกกันน้ำที่หน้ากระจกนั้น นิคโอบอยู่หลังทัศนีย์จูบคอทัศนีย์ไปมา
       นิคหันมามองปิ่นอนงค์แล้วพูดกับทัศนีย์
       “ผมไปรอในห้องน้ำนะ” นิคเดินโซเซตาปรือมองปิ่นอนงค์ แล้วเข้าห้องน้ำไป
       ทัศนีย์หันมา ปิ่นอนงค์เดินเข้าไปหา
       “อะไรอีกล่ะ อ้าว แล้วทำไมไม่ขนกระเป๋าเข้ามา”
       “คุณนี ปิ่นขอร้องอย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ ถ้าคุณนายรู้เข้าคงจะเสียใจมาก”
       ทัศนีย์มองปิ่นอนงค์อย่างเย้ยหยัน เดินอ้อมไปมา
       “อ๋อเหรอ การที่ชั้นมีผัว...เอ๊ยมีแฟนมันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมากอย่างนั้นเหรอ”
       “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่เวลานี้มันยังไม่สมควร คุณนีควรจะตั้งใจเรียนให้จบซะก่อน แล้วค่อยแต่งงาน
       กับผู้ชายที่คุณนีรัก” ปิ่นอนงค์บอก
       ทัศนีย์ฉุนกึก “มากไปแล้วมั้งปิ่น ถือดียังไงมาพูดกับชั้นแบบนี้อิจฉาล่ะสิ เพราะเธอมันไม่เคยมีแฟน มีคนที่เป็นเพื่อนคุย ดูหนังกินข้าว แล้วที่สำคัญนะปิ่น ผู้ชายเนี่ยคือเครื่องคลายเหงาที่ดีที่สุด คนอย่างเธอไม่รู้หรอกว่ามันดียังไง”
       เสียงนิคตีน้ำในอ่างดังลอดออกมา นิคตะโกนเรียก “นี ถูหลังให้นิคหน่อย”
       “ปิ่นหวังดีนะคะ อีกอย่าง ถ้าคุณนายมาเห็นเข้า คงจะเสียใจ...”
       ปิ่นอนงค์จะพูดต่อ แต่ทัศนีย์ตัดบท สีหน้าหงุดหงิด
       “ไม่ต้องมาเตือนชั้น เตือนตัวเองเถอะว่าจะแก่ตายไปเปล่าๆ เพราะมัวแต่รอคอยพี่นะ เคยได้ยินไม๊ปิ่น แม่สายบัวคอยเก้อ มา..ชั้นจะให้เธอดูอะไร”
       ทัศนีย์เดินไปหยิบโทรศัพท์กดคลิปภาพจะให้ปิ่นอนงค์ดู นิคออกมาจากห้องน้ำสภาพฟองฟอดเต็มตัวมายืนข้างๆ ปิ่นอนงค์หน้าตาเฉย
       “สบู่หล่น ไปช่วยนิคหาหน่อยนะนีนะ”
       
       ปิ่นอนงค์ช็อก รีบเดินหนีออกไป นิคกับทัศนีย์หัวเราะไล่หลัง 

------------------------------------------------------------------------------------
ถวิลสะดุ้งตื่นขึ้นมาในรถ รีบดูนาฬิกา แล้วก้าวลงตรงไปที่ประตูหน้าเรือน เมียงมองสอดส่องไปตามหน้าต่างบ้านหลังใหญ่โตหรูหราหลังนั้น ระหว่างนั้นมีมือใครคนหนึ่งตบไหล่ถวิล ก่อนที่ใครคนนั้น จะเหวี่ยงถวิลเข้าผนังตึก อีกคนถือปืนจดจ้อง เล็งอยู่แล้ว
       
       “เฮ้ย....อะไรวะ” ถวิลโวยใส่
       “แกนั่นแหละ ไอ้แก่ มาด้อมๆมองๆอะไรที่นี่ ตรวจอาวุธมัน” คนที่ถือปืน
       คนที่เหงี่ยงถวิล เข้ามาตบเอวตบหลังถวิลตรวจหาอาวุธ ถวิลฮึดฮัด
       
       ภายในบ้านเสี่ยตง ซึ่งก็คือบ่อนที่ครองสุขมาเสี่ยงโชค แต่ดูเหมือนครองสุข ซึ่งมีธีระมาเป็นเพื่อนจะโชคไม่มี เพราะนั่งตรงข้ามเสี่ยตง สีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย ในขณะที่เสี่ยตรงยิ้มขรึม
       โดยสมุน 2 คน ยืนมาดขรึมคุมเชิงอยู่ตามมุมห้อง
       “ผมให้เวลาชำระหนี้ หนึ่งเดือนนะครับ” เสี่ยตงบอก
       “อะไรกันเสี่ย ชั้นขาประจำนะเนี่ย เมื่อคืนก็เสียเงินสดไปเป็นล้าน”
       เสี่ยตงดึงเช็คออกจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้ ครองสุขไม่รับ
       “ครั้งที่แล้วแปดแสน คุณนายก็จ่ายเช็คเด้งให้ผม ถ้าหนึ่งเดือนยังไม่มาจ่าย ผมกับลูกน้อง จะไปเยี่ยมที่ไร่ไพศาล” ผู้จัดการบ่อน ลูกน้องเสี่ยตงเอ่ยขึ้น
       เสี่ยตงฉีกเช็คโปรยต่อหน้า ระหว่างนั้นสมุน 2 คน ลากถวิลเข้ามา
       “ไอ้นี่มาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าบ้าน ครับนาย เอายังไงดี” สมุนที่ค้นตัวถวิลบอก
       ถวิลสะบัดสุดแรง สมุนที่มีปืนเงื้อปืนจะตบ ครองสุขรีบบอก “อย่านะ คนของชั้นเอง”
       ธีระรีบเสริม “ไม่มีอะไรครับ ลูกจ้างที่ไร่”
       ทุกคนมองสบตากันไปมา
       
       เสี่ยตงกับเหล่าสมุนหน้าเหี้ยม ยืนมองอยู่ที่หน้าตึก ขณะที่ครองสุขกับธีระและถวิลเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่ในลานจอด
       “ขอโทษครับคุณนาย ที่นี่ที่ไหน แล้วไอ้พวกนี้เป็นใคร” ถวิลสงสัย
       “ลูกค้าเก่าแก่ของไร่นั่นแหละ
       “ใช่เหรอครับ ทำไมตอนท่านยังอยู่ ผมไม่เคยมาที่นี่สักครั้ง” ถวิลสงสัยไม่หาย
       ธีระไม่พอใจ “นี่ลุงเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ลุงก็แค่หัวหน้าคนงานกับคนขับรถ ต้องรู้ทุกเรื่องด้วยเหรอ”
       ครองสุขตวาดสองคน “พอได้แล้ว หนวกหู รีบกลับเถอะ....ง่วง”
       ถวิลขับรถออกไป ผู้จัดการกับสมุนพากันเดินเข้าตึก
       ไกลออกไปรถของใหญ่ ซึ่งมีปานเทพนั่งมาด้วย จอดอยู่ที่ถนนใหญ่ ใหญ่ในตอนนี้สวมเสื้อแจ็คเก็ต ทับเสื้อยืดข้างใน สะพายกระเป๋า
       
       สองคนมองจากในรถ ซุ่มดูเหตุการณ์ผ่านรั้วบ่อนสักพักหนึ่งแล้ว
       
       ใหญ่ยังมองมาที่ตึกบ่อน แผลที่มือยังพันผ้าอยู่ จังหวะนั้นปานเทพพูดโทรศัพท์อยู่
       “ขอบใจมาก สารวัตร” ปานเทพกดวางสาย หันมาทางใหญ่ “บ่อนของเสี่ยตงขาใหญ่ที่ตำรวจยังไม่เข้าจับ เพราะยังรอให้มันพลาดเรื่องยาอยู่”
       “น่าสนใจดีว่ะ” ใหญ่ว่า พร้อมกับเปิดประตูรถจะลงไป
       ปานเทพร้องลั่น “เฮ้ย นั่นแกจะลงไปไหน”
       “อยากลองเสี่ยงโชคดูสักตั้ง” ใหญ่ลงรถไป
       ปานเทพปวดกบาล “เฮ้ย ใหญ่... ไอ้คุณใหญ่”
       
       ถวิลขับรถเข้ามาจอดที่หน้าเรือนใหญ่ ครองสุขกับธีระลงรถ ปิ่นอนงค์เห็นรถมาแต่ไกล รีบเอาน้ำส้มมาส่งให้คุณนายดื่ม
       “เออดี...ชื่นใจ” ครองสุขจะเข้าบ้าน ปิ่นอนงค์เข้ามาขวางไว้
       “ไปพักผ่อนที่รีสอร์ตดีกว่ามั้ยคะคุณนาย อากาศดีๆ อาหารก็อร่อย”
       ครองสุขจ้องหน้าปิ่นอนงค์ “อะไรของแก อยู่ดีดีจะมาสั่งให้ฉันไปโน่นไปนี่จะมากไปแล้ว”
       ปิ่นอนงค์ยังยื้อต่อ “เอ่อ ก็เผื่อ ช่างมาทาสีเรือนใหญ่ คุณนายจะเหม็นสีนะคะ”
       ครองสุขฉุนขาด “เอ๊ะ นังปิ่น บอกให้หลีก ฉันยิ่งอารมณ์เสียๆ อยู่นะ”
       ครองสุขผลักปิ่นอนงค์สุดแรงจนร่างกระเด็น ธีระเข้ามาประคอง ปิ่นอนงค์รีบขืนตัว
       จังหวะนั้นครองสุขหันไปเห็นรถสปอร์ตของนิค โดยมีน้อยกำลังก้มๆ เงยๆ ล้างรถอยู่หน้าหงิกหน้างอ
       “นังน้อย นั่นรถใคร ใครมา”
       น้อยสะดุ้ง “รถผัวใหม่คุณทัศนีย์ค่ะ อุ๊บ” น้อยรีบปิดปากตัวเอง
       
       ทุกคนหน้าเครียด ครองสุขตาค้าง
       เวลานั้นทัศนีย์กับนิคกินโจ๊กกันอยู่อย่างอร่อย ป้อนกันไปมา ครองสุขเดินเข้ามา ปิ่นอนงค์กับอุ่นเรือนตามติด น้อยแอบมองที่ประตู ทัศนีย์ กับนิค แลเห็น ชะงักวางช้อน
       ทัศนีย์ไหว้ครองสุข นิคไหว้ตาม
       “อ้าวคุณน้า สวัสดีค่ะ นี่นิค แฟนหนู”
       “สวัสดีครับคุณน้า”
       ครองสุขมองนิคเขม็ง “กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ ชั้นไม่ใช่น้องแม่แก”
       ทัศนีย์โวยนิดๆ “ทำไมน้าพูดกับแฟนหนูอย่างนี้ล่ะคะ”
       ครองสุขบอก “นี พาแฟนแกออกไปจากบ้านชั้นเดี๋ยวนี้”
       
       “โธ่น้า แค่หนูพาแฟนมาบ้านอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปหน่อยเลย” ทัศนีเถียง
       ปิ่นอนงค์เข้ามายืนหลังอุ่นเรือน
       “ยังมีหน้ามาพูด ชั้นส่งเสียให้แกเรียนหนังสือแกก็ไม่เรียน คบหาผู้ชายไม่เลือกหน้า คนดีๆ ที่ชั้นแนะนำแกก็ไม่เอา แล้วดูแกสิเอาไอ้กร๊วกที่ไหนก็ไม่รู้มาเหยียบบ้านชั้น ขายหน้าจริงๆ”
       นิคหน้าเสีย เริ่มมีอารมณ์ “โห แรงไปมั้ยคุณน้า”
       ทัศนีย์ลุกพรวด “นิคน่ะ เค้าเป็นถึงลูกชายอบจ. ไม่เหมือนที่น้าคบอยู่ทุกวันนี้” ปรายตามองธีระอย่างดูถูก “คิดว่าหนูไม่อายชาวบ้านหรือไง”
       ครองสุขอึ้ง “อีอกตัญญู”
       ครองสุขโผเข้าจะตบทัศนีย์
       ธีระรีบห้าม “อย่าครับพี่ อย่า...”
       ธีระจับแขนครองสุขไว้ ปิ่นอนงค์เข้าจับแขนคุณนายอีกข้าง
       “ใจเย็นๆ ค่ะ คุณนาย”
       
       คนงานนั่งกินข้าวกันที่ตรงซุ้มข้างเรือนคนงาน กลุ่มถวิลมีเปี๊ยก หวาน และจอม ซึ่งจอมเอามือคลำแก้มที่ยังชาๆ เพราะถูกตบ หวานบ่นอุบ 
       “คุณนายเค้าเลี้ยงหลานยังไงของเค้า เห็นบ้านเราเป็นโรงแรมหรือยังไง หิ้วผู้ชายเข้าบ้านมาอย่างนี้”
       “เค้าเรียกเชื้อไม่ทิ้งแถว เรื่องผู้ชายก็ยังพอว่า แต่ไอ้ที่ให้ชั้นขับรถไปเมื่อคืนอย่างกับซ่องโจรหรือไม่ก็บ่อนอย่างนั้นแหละ” ถวิลว่า
       จอมอึ้ง “หมายความว่า ที่เค้าลือกันว่าคุณนายเข้าบ่อนก็จริงเหรอพ่อ”
       “เจริญละ คนเราลองผีพนันสิงซะก็หมดทุกอย่าง ทีนี้ไร่ไพศาลจะเหลืออะไร” หวานเหน็บ
       “คิดถึงคุณใหญ่ ถ้าคุณใหญ่ยังอยู่ ไร่ไพศาลคงไม่อยู่ในสภาพนี้” ถวิลระอาใจนัก
       “แต่คุณใหญ่แกก็หนีไปเพราะแกฆ่าคนตายในไร่ไม่ใช่เหรอพ่อ แสดงว่าแกก็ร้ายไม่ใช่เล่น”
       ถวิลพูดเป็นนัย “ไอ้ที่ร้ายก็เพราะมันมีเหตุ”
       ระหว่างนั้นเปี๊ยกคนงานใบ้ของไร่ เดินเข้ามา ส่งเสียงอ้อแอ้ ทำท่าทางประมาณที่เรือนใหญ่มีคนทะเลาะกัน
       “อะไร ไอ้เปี๊ยก คนกำลังคุยกัน อย่ามาทำเสียบรรยากาศ” หวานโวยใส่
       จอมคุ้นเคยกันอย่างดีสงสัย “ที่เรือนใหญ่ ...ใครทะเลาะกันเหรอพี่”
       
       ถวิลกับอุ่นเรือนเข้ามา ครองสุขดิ้นรน ถูกล็อกแขนสองข้างโดยปิ่นอนงค์และธีระ ทัศนีย์หลบหลังนิค สองคนถอยหนีรอบโต๊ะ
       “ค่อยๆ พูด ค่อยๆจาซิคุณน้า” นิคว่า
       ครองสุขเดินตามในสภาพถูกล็อกแขน “แกไม่เกี่ยว หลบไป”
       ธีระชี้หน้านิค “แกรีบไปเลย ไปเดี๋ยวนี้”
       ทัศนีย์ไม่พอใจธีระ “แกมีสิทธิ์อะไรมาไล่แฟนชั้น ทีแกกับน้าสุข ชั้นยังไม่บ่นสักคำ”
       ครองสุขด่าอีก “อีเนรคุณ”
       ครองสุขคว้าขวดบนโต๊ะ เงื้อจะเขวี้ยง อุ่นเรือนถลาคว้าแขนคุณนาย ขวดกระเด็นไปเฉียดหัวนิคกับทัศนีย์
       ครองสุขของขึ้นเต็มที่ เหวี่ยงอุ่นเรือนสุดแรง ร่างกระเด็นไปกระแทกข้างฝาทรุดลงกับพื้น อุ่นเรือนซึ่งไม่สบายอยู่แล้วรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก สิ้นสติ
       ทัศนีย์กับนิคสบโอกาสเผ่นหนีไปทันที ครองสุขตกใจนิ่งยืนหอบ ปิ่นอนงค์รีบไปประคองอุ่นเรือนด้วยความตกใจ
       “แม่.. แม่... ลุงหวิน พาแม่ส่งโรงพยาบาลที”
       ถวิลวิ่งไปหาอุ่นเรือนช่วยประคอง ทุกคนตื่นตระหนกตกใจกันไปหมด
       จอมวิ่งเข้ามาพอดี ถวิลเรียก “ไอ้จอมมาช่วยกัน”
       
       ไม่นานนักปิ่นอนงค์ ถวิล วิ่งตามรถเข็นเตียงคนไข้ที่อุ่นเรือนนอนไร้สติไป
       ผู้ช่วยเข็นเตียงเร็วรี่ พยาบาลประกบข้างเตียง
       ปิ่นอนงค์ ถวิล และทุกคนหน้าตาตื่นตระหนก
       “แม่...แม่” ปิ่นอนงค์เรียกแม่ตลอดเวลา
       เตียงถูกเข็นเข้าห้องไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลขวางปิ่นอนงค์ ถวิล
       “รอข้างนอกนะคะ ห้ามเข้าค่ะ”
       ปิ่นอนงค์ ถวิลมองผ่านกระจกที่ประตู จอมเข้ามาสมทบ ปิ่นอนงค์เห็นอุ่นเรือนถูกยกร่างขึ้นเตียง บรรดาหมอ พยาบาล ผู้ช่วย เตรียมเครื่องมือวุ่นวาย ตั้งจอจับสัญญาณชีพ เครื่องกระตุ้นหัวใจ หมอเจ้าของไข้ส่องไฟฉายตรวจดูม่านตาอุ่นเรือน
       
       ปิ่นอนงค์ กับถวิล นั่งกระสับกระส่าย พยาบาลถือเอกสารเข้ามา สองคนรีบลุก ปิ่นอนงค์ถามทันที “แม่เป็นอะไรมากมั้ยคะ คุณพยาบาล”
       “ต้องผ่าตัด ทำบอลลูนหัวใจ ญาติกรุณาเซ็นยินยอม ด้วยค่ะ”
       ปิ่นอนงค์ตกใจยืนตาค้าง ซวนเซ จอมคว้าตัวไว้ ถวิลรีบหยิบปากกากับเอกสารจากพยาบาลยื่นให้ปิ่นอนงค์
       “เซ็นชื่อเร็วหนูปิ่น”
       ปิ่นอนงค์เซ็นชื่อตามที่ถวิลชี้ในเอกสาร
       “มีประกันหรือใช้สิทธิอะไร” พยาบาลถามอีก
       “จัดการได้เลยครับเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง คนไข้เป็นแม่บ้านไร่ไพศาลครับ”
       พยาบาลรับเอกสาร และปากกา เดินออกไป
       ปิ่นอนงค์ ถวิล และจอมมองตาม ปิ่นอนงค์ยกมือไหว้ น้ำตาไหล
       “ขอให้วิญญาณคุณผู้ชาย คุ้มครองแม่ให้ปลอดภัยด้วยนะคะ”
       
       เหตุการณ์ที่ไร่ไพศาลเวลานั้น ธีระประคองครองสุขเข้ามาในห้อง ภาพไพศาลกับครองสุขในห้องนอนเหมือนมองมา ธีระโอบดึงให้ครองสุขนั่งลง
       “ใจเย็นๆ น่ะพี่ โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ทัศนีย์ไม่เห่อใครนานหรอก เดี๋ยวเบื่อก็เลิกไปเอง”
       ครองสุขเยาะ “มันไม่ใช่ลูกเธอ เธอก็พูดได้ซิ”
       ธีระงง “ลูก”
       ครองสุข ตัดบท “ไป ไปฉันปวดหัว อยากอยู่คนเดียว”
       ธีระเดินออกไปงงๆ ครองสุขลุกขึ้นเดินพล่าน หยิบโน่นนี่ขว้างปา แล้วหันไปมองรูปไพศาลที่ผนังซึ่งถ่ายคู่กับครองสุข
       “อย่ามามองเยาะเย้ยฉันนะ ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอก ตานะกับยัยนี ต้องได้ครอบครองที่นี่ไม่ใช่ไอ้ใหญ่ เพราะไร่ไพศาลมันควรเป็นของฉัน ตั้งแต่ฉันยอมเอาชีวิตสาวมาทิ้งไว้กับตาแก่อย่างแกแล้ว”
       
       ครองสุขสะดุดตาสร้อยคอเพชรเส้นสวย ที่ตัวเองสวมตอนถ่ายรูปนี้ พร้อมๆ กันนั้น ที่มาของสร้อยสวยราคาแพงก็ผุดพรายขึ้นมาในความคิด 

-----------------------------------------------------------

วันนั้นในอดีต ครองสุขในวัยสาวสะพรั่ง แต่มีลูกน้อยสองคนแล้ว อาศัยอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด กำลังเอาสร้อยมาทาบคอ อวดอุ่นเรือน 
       
       “สวยมั้ย แก คุณไพศาลให้ฉันเป็นของหมั้น”
       อุ่นเรือนเป็นห่วง อดถามไม่ได้ “คุณหนูจะแต่งงานกับนายไพศาลนั่นจริงเหรอคะ เค้าแก่กว่าคุณหนูตั้งเกือบสองรอบ”
       ครองสุขยิ้ม “ดีซิ แก่อย่างงี้อยู่อีกไม่เท่าไหร่ก็ตายทิ้งสมบัติให้ฉันแล้ว แกไม่รู้อะไร คุณไพศาลมีทั้งไร่ทั้งรีสอร์ตกว้างสุดลูกหูลุกตา”
       อุ่นเรือนทักท้วง “แล้วคุณไพศาลรู้เรื่องคุณนะกับคุณนีมั้ยคะ”
       ระหว่างนั้นเด็กหญิงทัศนีย์วิ่งเข้ามาถือมงกุฎดอกไม้เข้ามาด้วย ทัศนีย์
       “แม่ ช่วยด้วย พี่นะจะตีหนู”
       เด็กชายทรรศนะวิ่งตามเข้ามาแย่งคืน “เอาคืนมานะนี มงกุฎนั่นพี่ทำให้ปิ่น ไม่ใช่ของเธอ”
       “แต่นีชอบนีจะเอา นังปิ่นมันเป็นขี้ข้า พี่นะไปทำให้มันทำไม”
       ทัศนีย์กับทรรศนะแย่งกันไปมา
       ทรรศนะบอก “ไม่ เอาคืนมา”
       เด็กหญิงปิ่นอนงค์ยืนร้องไห้ มองดูอยู่ตรงหน้าประตู อุ่นเรือนเข้าไปกอดปลอบ
       ครองสุขตวาดลูกทั้งสองคน “โอ๊ย พอซะที มาแย่งกันทำไมมงกุฎกระจอกกระจอกนี่”
       ครองสุขแย่งมงกุฎไปแล้วขว้างใส่ปิ่นอนงค์
       “ให้นังปิ่นมันไป แล้วฉันจะหามงกุฎเพชรจริงๆ มาให้แก ยัยนี”
       ทัศนีย์มองตาโต “จริงเหรอคะ แม่”
       “ใช่ เราทั้งหมดกำลังจะย้ายจากบ้านรูหนูนี่ไปอยู่คฤหาสน์กลางภูเขา ต่อไปเราจะมีทั้งเงิน ทอง เพชร นิลจินดาเยอะแยะ”
       ทัศนีย์ร้องลั่น “ไชโยๆๆ”
       ครองสุขวาดวิมานต่อ “แต่มีข้อแม้ ฟังนะ ทรรศนะ ทัศนีย์ ถ้าแกอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แกต้องเรียกฉันว่าน้า”
       ทรรศนะฉงน “ทำไมละครับ ทำไมต้องเรียกแม่ว่าน้าด้วย”
       “ไม่ต้องถาม ถ้าแกยังอยากไปอยู่กับฉัน ทำตามที่ฉันบอก แล้วแกก็จะสบาย” มองมาทางอุ่นเรือน “นังอุ่นถ้าอยากหอบลูกไปอยู่กับฉัน ก็จัดการสอนลูกแกใหม่ด้วย ฉันไม่เคยมีผัว มีลูก จำไว้”
       อุ่นเรือนฟัง แต่ตามองปิ่นอนงค์ที่เก็บมงกุฎมาชื่นชม ไม่รู้เรื่องรู้ราว
       
       ไม่นานต่อมา ครองสุขหอบลูกสองคนที่อุปโลกน์ว่าเป็นหลาน พร้อมด้วยอุ่นเรือนกับปิ่นอนงค์มาที่ไรไพศาล โดยมีไพศาลถือไม้เท้า เดินโอบครองสุข
       พวกอุ่นเรือน ปิ่นอนงค์ ทรรศนะ และทัศนีย์อยู่ด้านหลัง
       ปลอด ถวิล คนงานไร่ ชาย-หญิง มาประชุมกันตรงกันข้าม คนใช้สาวอีกนางยืนสำรวมอยู่มุมหนึ่ง
       “ต่อไปนี้คุณครองสุข จะมาเป็นนายหญิงคนใหม่ของที่นี่”
       สิ้นเสียงประกาศ หมู่มวลคนงาน คนใช้ สบตากันไปมางงๆ
       ไพศาล ผายมือไปที่ทรรศนะ ทัศนีย์ ต่อไปจนถึงอุ่นเรือน และปิ่นอนงค์
       “หลานๆ ของคุณครองสุข และคนติดตาม จะมาอยู่ที่นี่เป็นครอบครัวเดียวกันกับชั้น”
       ครองสุขยืนทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน ยิ้มเยื้อน แต่จิกตามองข่มทุกคน
       “ขอให้ทุกคนทำตัวเหมือนเดิมนะจ๊ะ ชั้นจะดูแลไร่กับคนงานทุกคนให้เหมือนกับคุณนายคนก่อน”
       ใหญ่ หรือชาลิตพรวดพราดเข้ามา คู่หูเด็กชายปานเทพตามมาติดๆ แล้ววิ่งไปยืนแอบหลังพ่อ
       “อย่าเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับแม่ของชั้น แกไม่มีวันเหมือนแม่ของชั้น”
       ว่าพลางใหญ่วิ่งเข้าไปเตะ ถีบกองกระเป๋าใกล้ๆ กระจาย ทุกคนช็อก
       ไพศาลลุกเดินเข้าไป ตบหน้าใหญ่ดังฉาด ใหญ่ยืนจ้องตาไพศาลแล้วหันไปมองครองสุข ไพศาลเงื้อมือจะตบอีกที ใหญ่วิ่งไปชนปิ่นอนงค์กระเด็นล้มลงแล้ววิ่งไปไม่สนใจใคร
       ปลอดกับปานเทพ ผลุนผลันจะตาม ปลอดร้อง “คุณใหญ่”
       ไพศาลยกมือห้าม “ไม่ต้องตาม ปล่อยมันไป”
       ปลอดกับปานเทพสบตากันนิ่ง
       ครองสุขตีบทเสียใจกระจาย สะอึกสะอื้นเบาๆ ไพศาลตรงเข้าไปกอดครองสุข ตบหลังตบไหล่เบาๆ
       “ขอโทษๆ ไม่เป็นไรๆ แม่ใหญ่มันเพิ่งตายไม่นาน มันคงทำใจยังไม่ได้ เดี๋ยวผมจะพูดกับมันเอง”
       ปิ่นอนงค์กับอุ่นเรือนเหลอหลา หมู่คนงานสบตากัน
       
       ใหญ่กับปานเทพกำลังซ้อมมวย ใหญ่ให้ปานเทพจับกระสอบทราย ทรรศนะเข้ามามองอย่างสนใจ
       “จับแน่นๆ สิไอ้ปาน”
       “ได้เลย ไอ้คุณใหญ่”
       ทรรศนะ เอ่ยขึ้น “เล่นด้วยซิ คุณใหญ่”
       ใหญ่หันขวับ ปานเทพกอดกระสอบหน้าเครียด
       ระหว่างนั้นอุ่นเรือนกางร่มให้ครองสุข ซึ่งเดินเล่นอยู่ มองมาเห็นตกใจจนร่มหล่น
       “ว้าย ตายแล้ว คุณนะ”
       ใหญ่ไล่ต่อยนะจนแว่นกระเด็น ล้มลุกคลุกคลาน โดยมีปานเทพยืนเชียร์
       ครองสุขเห็น วิ่งมาหา ทรุดลงยองๆ มองลูกชายอย่างเป็นห่วง “หยุดนะ คุณใหญ่ อ๊ายยย”
       ใหญ่เงื้อจะต่อยซ้ำเลยเฉียดหน้าครองสุขล้มลงไปทับกับทรรศนะ อุ่นเรือนเข้าประคอง
       
       ใบหน้าทรรศนะ ช้ำ ปากเจ่อ น้ำตาไหล สะอื้นฮักๆ ครองสุขกอดทรรศนะร้องไห้ ปิ่นอนงค์ยืนแอบมองที่ประตู
       ไพศาลชี้หน้าใหญ่ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อีกมุมปานเทพกับปลอดยืนอยู่
       “ไอ้ใหญ่ แกจะก้าวร้าวเกินไปแล้ว กราบขอโทษครองสุขซะ”
       “ผมไม่ผิด ผมไม่ขอโทษ” ใหญ่ไม่ยอม
       ปานเทพพูดแทรกขึ้น “จริงครับ คุณนะมาขอเล่นเอง เราไม่ยอมให้เล่นก็ไม่ฟัง แล้วพอคุณนายเข้ามาห้ามเลยล้มลงไป คุณใหญ่ไม่ได้ทำอะไรคุณนายเลยนะครับ”
       ครองสุขสบโอกาสสร้างภาพแสนดี “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันมันก็แค่คนอาศัย คำพูดของฉันไม่มีความหมายอะไรหรอก”
       “ไม่ได้ เธอเป็นเมียฉัน เป็นคุณนายของที่นี่ ถ้าใครมันไม่เคารพนับถือเธอก็อยู่ไม่ได้ แกจะกราบหรือไม่กราบ”
       ใหญ่ยืนกรานแน่วนิ่ง “ไม่ ผมจะกราบแม่ผมคนเดียว”
       “ไอ้ดื้อด้าน”
       ไพศาลลุกคว้าไม้เท้าจะหวดใหญ่ที่แขน ใหญ่จับไม้ได้ สองพ่อลูกยื้อแย่งกัน ทุกคนตกใจ
       ใหญ่แย่งไม้ได้โยนลงตรงหน้าไพศาล แล้วเดินหนีไป ชนปิ่นอนงค์จนเซ ใหญ่จะเข้าจับช่วย แต่เปลี่ยนใจเดินหนีไป
       ไพศาลก้มลงหยิบไม้ “ชั้นจะเอาเลือดหัวแกออกไอ้ใหญ่”
       พอไพศาลเดินตามใหญ่ไปได้สามก้าว ก็หน้ามืดล้มลง
       ใหญ่เดินไปไม่หันกลับ
       “คุณไพศาล คุณ...” ครองสุขร้องเสียงหลง
       
       ค่ำคืนหนึ่ง หลายวันต่อมา ประตูโรงนาเปิดเข้ามา ผา ผัวเก่าครองสุขเมาแอ๋ ค้ำคอครองสุขดันไปติดกองฟาง สักครู่หนึ่งผาจึงปล่อยมือจากคอ ครองสุขไอแค่ก น้ำตาเล็ด ผาโผเข้ากอดซุกไซ้จูบ ครองสุขดิ้นผลักออก
       “ฉันขอร้อง แกออกไปจากที่นี่เถอะ เห็นแก่ลูกนะ”
       “อย่าเอาลูกมาอ้าง เธออยากมีผัวเป็นเศรษฐีมากกว่า นี่ถ้าฉันไม่แหกคุกออกมา ก็ไม่รู้หรอกว่าเธอมาเสวยสุขอยู่นี่”
       “แล้วจะเอายังไง ถึงฉันยอมให้แกทำงานที่นี่ ซักวันตำรวจก็ต้องตามแกเจออยู่ดี” ครองสุขอัดอั้น
       ผาผลักครองสุขจนกระเด็น “ถ้าแกยอมจ่ายหนึ่งล้านชั้นจะไม่มาที่นี่อีกต่อไป”
       ครองสุขชะงักกึก “ชั้นไม่มี ให้แกหรอก เงินตั้งล้าน”
       “ถ้าอย่างนั้น ชั้นจะไปบอกความจริงให้ไอ้แก่ไพศาลรู้ว่าแกเป็นเมียชั้น ไอ้นะกับอีนีก็เป็นลูกของชั้นกับแกชั้นจะเอาลูกกับเมียกลับบ้าน”
       ครองสุขร้องลั่น “อย่านะ”
       จังหวะนั้นคราดโดนศอกใหญ่ที่แอบดูอยู่มุมหนึ่ง เอนล้มลง ผาและครองสุข หันขวับสบตากับใหญ่ที่ตกใจ ตาค้าง
       “แกสองคนหลอกพ่อฉัน ฉันจะไปบอกพ่อให้จับแกเข้าคุก”
       ใหญ่จะเดินไป ผารีบวิ่งไปดักที่ประตู เดินเข้าหา ใหญ่ตกใจ ถอยหลังกรูด
       “เอาไงดี ไอ้เด็กนี่ จะฆ่าปิดปากหรือว่าจะเอาไปเรียกค่าไถ่ดี”
       ใหญ่ถอยไปสะดุดคราดเมื่อครู่ คว้าคราดมาถือเตรียมสู้ ครองสุขลุ้นระทึก
       ผาเดินเข้าหา ใหญ่ใช้คราดในมือฟาดเข้าที่ขา ผาสะดุ้งเจ็บปวด โมโหชักมีดพกออกมา “เล่นแรงๆ กูชอบ”
       ผาถือมีดระดับอกจดจ้องเดินเข้าหาใหญ่ ใกล้เข้าไปๆ ใหญ่ตั้งหลักเอาคราดแทงสวนที่ข้อมือ ผาอย่างแรง ซี่คราดกระแทกมือที่ถือมีดเฉือนคอด้านข้าง ผาล้มลงเลือดพุ่ง ร่างกระตุกๆ
       “ผา ผา พี่ผา...” ครองสุขตกใจ นึกว่าผาตายจริงๆเหลียวขวับมาทางใหญ่ “แกฆ่าคนตาย
       ใหญ่ตกใจขวัญเสีย ยืนตัวแข็ง ปล่อยคราดตกพื้น
       “ไม่นะ ฉันไม่ได้ทำ”
       ครองสุขมองใหญ่แล้วหันมามองผา ผัวเก่าที่แน่นิ่งไป ครองสุขนิ่งคิดแผนร้าย ยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา ใหญ่สบตาครองสุข
       “ถ้าตำรวจมาถึง คนที่จะติดคุกก็คือแก คุณไพศาลไม่มีทางเชื่อเรื่องที่แกบอกหรอก ฉันว่าแกหนีไปซะดีกว่า ไปซิ ไป”
       พอได้ฟัง ใหญ่วิ่งหนีสุดชีวิตออกประตูไป ครองสุขวิ่งตามมาดู เหยียดยิ้มด้วยความสะใจ
       
       “ขอบใจนะที่แกช่วยกำจัดเสี้ยนหนามให้ฉัน ขอให้แกไปแล้วไปลับ ไอ้ใหญ่ ไอ้ฆาตกร”

--------------------------------------------------------------------------------

ชาลิตหรือใหญ่ที่เคยถูกครองสุขหลอกเมื่อสิบปีก่อน ยังไม่ไปลับตามคำแช่งชัก และกำลังลุ้นไพ่ในมือ ยิ้มเครียดอยู่ เพราะเงินกองกลางตรงหน้าร่วมสามแสนบาท 
       
       เจ้ามือตี๋อ้วนลุ้นไพ่หนักไม่ต่างกัน เอามือรีดไพ่ป้องปิดมิดชิด แล้ววางไพ่ลง พลางเอามือปาดเหงื่อที่หน้าผากสบตากับใหญ่เจ้ามือยิ้มร่า
       “เจ้าตองเอ”
       ใหญ่หงายไพ่ “ผมก็ตองเอ”
       เจ้ามือลุกชี้หน้าใหญ่
       “เฮ้ย จะบ้าเหรอ ไพ่สำรับนึงมีเอแค่สี่ใบ แล้วเอ็งจะตองได้ยังไง ค้นตัวมัน”
       สมุน คนหนึ่งผลักใหญ่ไปกระทกข้างฝา ไพ่หลุดจากแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างๆ ละ สิบใบ ทุกคนมองหน้าใหญ่เหี้ยมเป็นตาเดียวกัน
       ใหญ่ยิ้มๆ “สงสัยร้านซักรีดหยิบผิด เอาเสื้อคนเล่นกลมาให้”
       เจ้ามือสั่งเข้ม “อัดมัน”
       สมุน 2 คน ตรงเข้าต่อยใหญ่ ใหญ่โชว์แม่ไม้มวยไทยต่างๆ นานา ฝีมือขั้นเทพ เจ้ามือโกยเงินอยู่ ใหญ่พุ่งเข้าไปชักปืนจี้พุง ส่งกระเป๋าสะพายให้เจ้ามือ สมุนชะงักกึก
       “เอาใส่กระเป๋าให้หมด ไม่งั้นพุงแตก”
       เจ้ามือรีบโกยเงินใส่กระเป๋าสะพายให้ใหญ่ตามสั่ง ใหญ่กวาดปืนไปมา
       “ใครอยากตายก็ตามมา” ใหญ่ออกประตูไปทันควัน
       
       ใหญ่วิ่งมาที่รถ ปานเทพตกใจ หันไปดูมีสมุนไล่ตามมาไกลๆ 4 คน ถือปืนมาด้วยใหญ่โดดขึ้นข้างคนขับ
       “อะไรของแกวะเนี่ย ไอ้คุณใหญ่” ปานเทพโวยลั่น
       ใหญ่สั่ง “ไปเร็ว
       ปานเทพขับรถทะยานออกไปเร็วรี่
       สมุนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา หันไปสั่งสมุนลูกน้อง “ไปเอารถมา” ลูกน้องวิ่งจู๊ดกลับไป
       สมุนมองตามรถใหญ่กับปานเทพ ด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม
       
       ด้านใหญ่นั่งเหลียวหลัง แลหน้า ดูสมุน ปานเทพมองใหญ่งงๆ ถาม
       “จะให้ไปทางไหนไอ้คุณใหญ่”
       “ไร่ไพศาล อย่าขับเร็วนักสิวะ เดี๋ยวพวกมันตามไม่ทัน” ใหญ่บอก
       ปานเทพเซ็ง “อะไรวะ หนีแต่กลัวเค้าตามไม่ทัน”
       
       บนถนนเส้นนั้น รถใหญ่ขับมา รถผู้ร้ายตามมาไกลๆ สมุนในรถผู้ร้ายโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถ ยิงใส่รถใหญ่สองนัด ปานเทพสะดุ้ง กลัวสุดขีดใหญ่ขำๆ
       ใหญ่มองอยู่ร้องสั่ง “มาแล้วๆ รักษาระยะเอาไว้”
       “ระยะบ้าอะไร ลูกปืนนะโว้ยไอ้บ้า”
       
       ปานเทพขับรถมาถึงถนนหน้าไร่ไพศาลระวังตัวเต็มที่ กลัวโดนยิง “จะถึงไร่แล้ว เข้าไปเลยมั้ย”
       ใหญ่รีบบอก “ไม่ต้อง เลยไปหน่อยแล้วปล่อยชั้นลง เสร็จแล้วแกกลับไปเลย”
       ปานเทพงง “เฮ้ย นี่แกจะเล่นอะไรของแกอีกวะ”
       รถแล่นผ่านป้ายไร่ไพศาล “เออ...แล้วจะติดต่อไป ขอบใจมาก”
       ปานเทพชะลอความเร็ว ใหญ่ม้วนตัวลงจากรถ ปานเทพขับออกไปเร็วรี่ใหญ่วิ่งเข้าไปที่รั้ว
       รถผู้ร้ายเห็นใหญ่ เบรกเอี๊ยด ใหญ่พุ่งตัวหายเข้าไปในรั้วไร่ สมุนลงรถมาเหลียวหาไปมา
       
       เวลานั้นอุ่นเรือนนอนบนเตียงคนไข้ พยาบาลปรับระดับน้ำเกลือ เก็บปรอท เครื่องวัดความดัน บอกอุ่นเรือน
       “พักผ่อนนะคะ อีกสักครู่ คุณหมอจะมาตรวจค่ะ”
       ปิ่นอนงค์นอนที่โซฟา พยาบาลออกไปแล้ว ปิ่นอนงค์ตื่น รีบลุกไปดู เห็นแม่ลืมตาปิ่นอนงค์ดีใจ
       “แม่ฟื้นแล้ว ดีจังเลยค่ะ หิวมั้ยคะ เดี๋ยวปิ่นไปตามพยาบาลดีกว่าว่าแม่กินอะไรได้บ้าง”
       อุ่นเรือนส่ายหน้า ปิ่นอนงค์ชะงัก
       “ทำไมต้องผ่าตัดด้วย แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเค้า
       อุ่นเรือนพูดบอกด้วยเสียงโรยแรงเต็มที
       “เรื่องเงินช่างมันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ ปิ่นก็จะหามาให้ได้ขอให้แม่อยู่กับปิ่นก็พอแล้ว”
       อุ่นเรือนเอ็ดเอา “พูดง่ายๆ แล้วแกจะไปหาที่ไหน แล้วนี่คุณนายรู้เรื่องรึยัง ที่บ้านไร่เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ มีเรื่องวุ่นวายอย่างนี้”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มบอกแม่ “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ลุงหวินกับจอมกลับไปแล้ว คุณทัศนีย์กับแฟนเธอก็ออกจากไร่ไปแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง”
       “ไม่ห่วงได้ยังไง นังน้อยมันได้เรื่องที่ไหน ไม่เอาล่ะไปคุยกับหมอซิ แม่ขอกลับ” ขยับจะลุกแต่ก็ไม่มีแรง
       “แม่...” ปิ่นอนงค์กลุ้มใจ
       จินตนาเปิดประตู หิ้วถุงผลไม้เข้ามาหน้าตาตื่น
       “สวัสดีค่ะแม่ ขอโทษนะปิ่น มาช้าไปหน่อย”
       “ไม่ช้าหรอก พอดีเลย จิน” ปิ่นอนงค์ยิ้มดีใจ
       
       เวลาเดียวกันนั้นรถสมุนเฮียตี๋จอดมองอยู่ใกล้ๆ เรือรักษาการณ์หน้าไร่ไพศาล มีถวิลกับจอม ยืนประจันหน้ากับสมุนทั้ง 4 อยู่ พวกคนงานยืนกล้าๆ กลัวๆ ถือจอบ ถือมีด และเสียมอยู่หลังถวิลต่างเหลือบมองด้ามปืนที่เอวสมุนไปมา
       “ยังไงชั้นก็ให้พวกแกเข้ามาเพ่นพ่านในไร่ไพศาลไม่ได้เป็นไงก็เป็นกัน” ถวิลว่า
       “แต่คนร้ายที่จี้ทรัพย์เรามันวิ่งหลบเข้ามาในไร่นี้นะลุง” สมุน 1 ใน 4 บอก
       จอมออกหน้า “ไม่มีผู้ร้ายที่ไหนกล้าเข้ามาในไร่นี้หรอก แล้วพวกนายก็ไม่ใช่ตำรวจ ถ้าจะเข้าก็ต้องข้ามศพพวกฉันก่อน”
       จอมพูดจบต่างฝ่ายต่างกุมด้ามปืน เตรียมปะทะกัน
       เสียงธีระดังขึ้น “เฮ้ยอะไรกันวะ”
       ธีระเข้ามา สบตาสมุนเฮียจ๋อยๆ
       “มีเรื่องอะไรกันครับ”
       “มาตามคนร้าย มันปล้นเงินเสี่ยแล้วหนีเข้ามาในนี้” สมุนเฮียบอก
       “อ๋อ...ได้ๆ ผมพาไปเอง จะตรวจดูตรงไหนก็บอก พวกกันๆ” ธีระออกโรงเจ้ากี้เจ้าการ
       ถวิลมองขวางๆ “ใครพวกใคร นักเลงคุมบ่อนทั้งนั้น”
       ธีระด่า “เงียบเลยลุง ผมรับผิดชอบเองไปครับไป”
       สมุนทั้ง 4 คน หันมาทำหน้ากวนใส่ถวิล ถวิลเครียด ธีระเดินไปขึ้นรถพวกสมุนขับออกไป
       ระหว่างนั้นปิ่นอนงค์ขับรถจินตนาเข้ามาจอด สองสาวลงรถ ถวิลโบกมือไล่พวกคนงานไป
       ปิ่นอนงค์สงสัยมองพวกคนงานที่ออกไป
       “ใครมาเหรอลุง จอม มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
       “ไอ้พวกนักเลง มันมาตามหาคู่กรณีว่าหนีมาในไร่เรา” ถวิลบอก
       “มั่วรึเปล่าก็ไม่รู้ ปิ่นระวังๆ ตัวเอาไว้ก็ดี ป้าอุ่นเป็นยังไงบ้างล่ะ” จอมถาม
       “ฟื้นแล้วจ้ะ ตอนนี้ปิ่นวานให้เพื่อนอยู่เฝ้าแล้วก็ยืมรถเค้าขับมา ขอบคุณลุงกับจอมมากๆ เลย” ปิ่นอนงค์ไหว้ “ที่ช่วยพาส่งโรงพยาบาล นี่คุณนายอยู่บ้านรึเปล่าจ๊ะลุง”
       หวินที่อยู่ด้วยพยักหน้าบอกว่าอยู่
       
       น้อยจัดอาหารวางบนโต๊ะทานอาหารริมระเบียงเรือนใหญ่ เป็นข้าว ไข่เจียว และผัดผัก
       ครองสุข เห็นเมนูก็โวยใส่ “นังน้อย แกเอาขยะอะไรมาให้ฉันกิน”
       “ป้าอุ่นกับพี่ปิ่นไม่อยู่ ไม่มีใครทำกับข้าวค่ะ นี่น้อยก็ไปขอจากเรือนคนงานมา”
       ครองสุขด่า “ฉันเป็นใครถึงต้องมากินกับข้าวเหลือเดนจากไอ้พวกคนงาน ไปซื้อกับข้าวใหม่มา”
       น้อยรีบบอก “ป่านนี้แล้ว จะไปซื้อที่ไหนละคะ เงินก็ไม่มี”
       “ก็เอาเงินเดือนที่ฉันให้แกออกไปก่อนซิ เร็วฉันหิว”
       น้อยโต้ออกมา “ฝันไปหรือเปล่าคะ เงินเดือนๆนี้ยังไม่ออกเลยนะคะคุณนาย”
       ครองสุข ทำท่าจะร่อนจานใส่ น้อยรีบยกเอามือขึ้นบัง
       โทรศัพท์มือถือดังขึ้น ครองสุขวางจานรับโทรศัพท์
       
       “ฮัลโหล” ครองสุขออกอาการดีใจ ตาโต “นะ...นะเหรอลูก”

--------------------------------------------------------------------------

ทรรศนะซึ่งเวลานี้ยังอยู่ที่เมืองนอก นั่งที่โต๊ะในร้านอาหารแห่งหนึ่ง บนโต๊ะจุดเทียน มีจานอาหารสองจาน ถ้วย ซุป สลัด เหลือเศษอาหารนิดหน่อยเพราะกินกันหมดแล้ว เห็นลูกค้าโต๊ะอื่นฝรั่งชาย หญิงนั่งกินอาหารกันในร้าน
       “ครับ...ตอนนี้วงเงินในการ์ดเต็มแล้ว คุณน้าช่วยโอนให้ผมซักแสนนึงได้มั้ยครับ”
       ทรรศนะเรียกแม่ว่าน้า จนติดปากตั้งแต่เด็ก
       
       ครองสุขตกใจจนลืมตัว พูดเสียงดังลั่น “แสนนึง”
       น้อยที่กำลังจะออกไปหยุดแล้วแอบฟัง
       “ทำไมมันมากมายนักล่ะนะ”
       “ผมต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินของผมกับของอร แล้วก็ต้องซื้อของกลับไปฝากที่บ้านอรด้วย”
       “คือช่วงนี้ น้าต้องใช้เงินเรื่องปรับปรุง” พูดไปเหลียวระแวงไป “ขยายไร่กับรีสอร์ตอยู่ รออีกสองสามวันได้มั้ย”
       บริกรฝรั่งเดินมายื่นบิลให้ ทรรศนะมองแล้วเอากระเป๋าออกมา ดึงแบงก์ดอลล่ามา เทียบเงินไทยแล้วประมาณ สองหมื่นบาท เกือบหมดกระเป๋า อรสอางค์เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
       “นะ เช็คบิลแล้วรึยัง”
       “ครับ...รอเงินทอนอยู่”
       “ถ้ามันไม่กี่สิบเหรียญก็ทิปไปเถอะ อรต้องไปช้อปอีกตั้งหลายที่”
       “ครับๆ” ทรรศนะ หน้าเจื่อน
       
       ครองสุขถามออกไป “เสียงใครน่ะ”
       “อรสอางค์ ลูกสาวท่านปลัดกระทรวงที่ผมเล่าให้คุณน้าฟังไงครับ คุณน้าเข้าใจใช่มั้ยครับว่า ผมต้องเทคแคร์อรสำหรับอร เงินแค่แสนนึงมันเล็กน้อยมาก ช่วยโอนพรุ่งนี้นะครับ คุณน้า...พลีส” ทรรศนะ พูดเท่านั้นก็ตัดสายทันที
       ครองสุขเรียกอยู่นั่น “นะ ตานะ”
       ปิ่นอนงค์เดินเข้ามาพอดี เห็นน้อยเกาะประตูอยู่ “คุณนายล่ะ”
       น้อยชี้ๆ “หลานชายโทรมาจากเมืองนอก มาขอตังค์แหง”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มดีใจ “คุณนะ”
       ปิ่นอนงค์เดินเข้าไป ขณะที่ครองอารมณ์เสียอยู่
       “นะ โทรมาเหรอคะ คุณนาย”
       ครองสุขแว้ดใส่เสียงเขียว “แล้วมันเรื่องอะไรของแก หายหัวไปไหนมา ข้าวปลาก็ไม่หาไว้ให้ฉัน เลี้ยงเสียข้าวสุก”
       ปิ่นอนงค์หน้าจ๋อยเล่าอาการแม่ “ขอโทษค่ะ ปิ่นเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล แม่ต้องผ่าตัดหัวใจ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ”
       “อ้าว ก็ดีแล้วซิ แล้วจะมามัวพูดมากอะไร ไปหาข้าวให้ฉันกินซิ หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
       ปิ่นอนงค์รับคำแบบอึ้งๆ “ค่ะ”
       
       ไม่นานหลังจากนั้น ปิ่นอนงค์อยู่ในครัวทำอาหารเสร็จและกำลังยื่นจานผัดมักกะโรนีกุ้ง ให้น้อยใส่ถาดพร้อมน้ำผลไม้
       “คุณนายนี่โคตรใจร้ายเลย ป้าอุ่นป่วยจะตาย ไม่ถามอาการซักคำ” น้อยบ่นอุบ
       ปิ่นอนงค์ปราม “ไม่เอา อย่าพูดถึงคุณนายอย่างนั้นท่านมีบุญคุณกับแม่กับพี่มาก พี่โตมาได้ขนาดนี้ มีบ้านซุกหัวนอน เรียนจนจบปริญญาก็เพราะท่าน”
       น้อยยังไม่วายบ่นต่อ “แต่มันเกินไปจริงๆนี่ ถ้าไม่มีพี่ปิ่นนะ น้อยเผ่นไปทำงานโรงงานนานแล้ว”
       ปิ่นอนงค์หน้าเสีย “ถ้าไม่มีน้อย พี่คงเหงาแย่เหมือนกัน รีบไปเถอะ เดี๋ยวก็โดนดุอีก”
       น้อยเดินไป ปิ่นอนงค์ยิ้มเซ็งๆ
       
       ปิ่นอนงค์กลับมาเรือนที่พัก ขึ้นห้องนอน นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากมุมบังประตูตู้เสื้อผ้า รวบผมเก็บเตรียมเดินจะไปห้องน้ำ แต่แล้วปิ่นอนงค์ต้องชะงัก
       เมื่อมองไปเห็นหน้าต่างเปิดแง้มอยู่ ปิ่นอนงค์คิ้วขมวดด้วยความสงสัยเดินไปปิดหน้าต่าง หันกลับมาเจอใหญ่
       นึกถึงภาพตอนที่ตัวเองเอามีดขู่ใหญ่ผุดขึ้นมา ก็จำได้
       
       ปิ่นอนงค์จะร้อง ใหญ่เอามือปิดปาก ปิ่นอนงค์ตาโต โหญ่ตาดุใส่บอกให้เงียบ
       
       สมุนเสี่ยซึ่งเป็นหัวหน้าทีม เดินมากับธีระ ตามด้วยสมุนทั้งหมด ยืนเมียงมองหน้าเรือนอุ่นเรือน กวาดสายตาไปมา จากในบ้าน ขณะเดียวกันใหญ่กำลังผ่านช่องหน้าต่างแคบๆ แอบดู เห็นธีระ สมุนทั้งสี่อยู่หน้าบ้าน
       “เรือนพักพวกแม่บ้านผู้หญิง ไม่มีอะไรหรอก” ธีระบอก
       ด้านในบ้านใหญ่ปิดปากปิ่นอนงค์ กระซิบหูปิ่นอนงค์ ปิ่นอนงค์ลนลาน
       “ถ้าเธอบอกพวกมันว่าชั้นอยู่ที่นี่ ชั้นจะบอกว่าชั้นเป็นผัวเธอ เรากำลังจะจู๋จี๋กัน”
       หัวโจกสมุนเสี่ย เดินมาที่ประตู ทุกคนตามมา มองรองเท้าปิ่นอนงค์
       “เรียกซิ ขอดูข้างในหน่อย” สมุนหัวโจกมองธีระ
       “ปิ่น ๆ”
       ประตูเปิด ปิ่นอนงค์ในชุดเสื้อคลุม โผล่ประตูออกมาครึ่งๆ กลางๆ
       “คุณธีระ มีธุระอะไรคะ ชั้นกำลังจะอาบน้ำ”
       “เราตามหาคนร้ายอยู่ ขอตรวจดูในห้องหน่อย” สมุนหัวโจกบอก
       “ผมว่า…”
       ธีระพูดไม่ทันจบสมุนหัวโจกเปิดประตูกว้าง เดินสวนปิ่นอนงค์เข้าห้อง ทุกคนตาม
       พวกมันกวาดสายตาไปทั่ว “ค้นดู” หัวโจกสั่ง
       เหล่าสมุน ลูกน้อง กระจายไปดูที่ห้องน้ำ โผล่ไปดูหน้าต่าง ก้มดูใต้เตียง
       ปิ่นอนงค์ไปนั่งที่เตียงบ่นเซ็งๆ “รองเท้าก็ไม่ถอด ห้องเพิ่งถูหยกๆ”
       เหล่าสมุนลูกน้องเดินมาหาหัวโจก ต่างส่ายหน้า หัวโจกไม่วางใจหันไปดูตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มอยู่
       “นั่นมันตู้เสื้อผ้า ถ้าของมีค่าฉันหาย ฉันจะแจ้งตำรวจนะ”
       ธีระเดินมาหา ปิ่นอนงค์รีบเดินไปหาธีระ
       “ไม่ต้องกลัวนะปิ่น” ธีระบอกหัวโจกลูกน้องเสี่ย “ฉันว่ามันคงไม่เข้ามาในนี้หรอก ไปดูทางท้ายไร่ดีกว่า”
       สมุนทั้ง 4 ออกไป ธีระหันมาหาปิ่นอนงค์ ปิ่นอนงค์ถอย
       “หลับให้สบายนะ หมดเรื่องแล้ว” ธีระจ้องปิ่นอนงค์ตาเยิ้ม
       ธีระรีบตามสมุนทั้ง 4 ออกไป ปิ่นอนงค์รีบปิดประตูล็อก
       ใหญ่มุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า เอาปืนเหน็บเอว เดินไปล้มตัวนอนที่เตียงมองปิ่นอนงค์ที่หน้าซีด ยืนที่ประตู
       “อ้าว จะอาบน้ำก็ทำไปสิ ขอนอนพักหน่อย เหนื่อยมาทั้งวัน”
       ใหญ่ชักปืนวางหัวเตียงแล้วหลับตากอดหมอน ปิ่นอนงค์มองอย่างหวาดกลัว
       
       สมุนทั้งสี่ขับรถมาจอดหน้าเรือนรักษาการณ์
       ถวิลโผล่ออกมายืน ธีระลงจากรถพวกสมุนเดินมาเรือนรักษาการณ์
       สมุนหัวโจก โผล่หน้าออกมาจาก หน้าต่างหลังรถ ธีระชะงักเข้าไป “เฮ้ย ไอ้ผู้จัดการ...อย่าให้อั๊วรู้นะว่าลื้อตุกติกให้คนมาขโมยเงินเสี่ย”
       “ผมไม่ทำอยู่แล้ว สาบานได้”
       “งั้นอย่าลืมนะโว้ยหนึ่งเดือน บอกคุณนายด้วยรีบๆไป จ่ายคืนเฮียเค้าซะ ไม่งั้นเจอกันอีกแน่”
       เหล่าสมุนเสี่ย ขับรถออกไป ธีระจ๋อย ถวิลมองธีระสงสัย
       
       ด้านใหญ่นอนหลับหันหลังให้ ปิ่นอนงค์ออกมาจากห้องน้ำมองใหญ่นิ่ง ก่อนจะย่องไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบกางเกง เสื้อ ย่องไปที่ประตู เหลียวดูใหญ่
       ปิ่นอนงค์ค่อยๆ เปิดประตู ก้าวขาออกไป ใหญ่เข้ามาจับข้อมือปิ่นอนงค์ ดึงเข้าห้องปิดประตูล็อก
       ปิ่นอนงค์ตัวสั่นกลัวสุดขีด
       “ปล่อยชั้นไปเถอะ ชั้นไม่บอกใครหรอกว่าคุณอยู่ที่นี่สาบาน”
       ใหญ่จูงปิ่นอนงค์มาที่เตียง “นั่งลง ว่าง่ายๆ นะ”
       ปิ่นอนงค์นั่งตัวสั่น
       ใหญ่นั่งขัดสมาธิ ปลดกระเป๋าสะพายออกมาเปิดแล้วหยิบโทรศัพท์ปิ่นอนงค์ กระเป๋าสตางค์ซึ่งเป็นของปิ่นอนงค์ออกมาวางตรงหน้า
       ใหญ่บอก “ฉันเอาของมาคืน”
       ปิ่นอนงค์มองงงๆ หยิบกระเป๋าตังค์ดูเงินก็อยู่ครบ
       “นับดูนะว่าครบมั้ย”
       “คะ ครบ..ขอบคุณ”
       ปิ่นอนงค์ดีใจ รีบเอาเงินไปเก็บในลิ้นชัก แต่พอหันไปอีกทีก็เห็นใหญ่ถอดเสื้อตัวนอก ตัวในออกเหลือแต่เสื้อกล้าม
       ปิ่นอนงค์ผงะ “คุณ คุณจะทำอะไร”
       “มันร้อน เสื้อก็เหม็นสาบด้วย หนีตำรวจมาสามวันสามคืน ไม่ได้อาบน้ำ”
       ใหญ่เหวี่ยงเสื้อไปพาดที่เก้าอี้ ปิ่นอนงค์ไปยืนตัวสั่นอยู่ที่ข้างฝา
       ใหญ่เรียก “มานี่ซิ บอกให้มานี่” ปิ่นอนงค์น้ำตาคลอเดินเข้าไปหา “แก้ผ้าให้ที” ใหญ่บอก
       ปิ่นอนงค์อึ้งกลัวจับจิต “ฉันกลัวแล้ว สงสารฉันเถอะนะ อย่าทำอะไรฉันเลย” ไหว้ปลกๆ
       “แล้วเธอคิดว่า ฉันจะให้ทำอะไร” ใหญ่ขำ
       ปิ่นอนงค์อึกอัก “ก็..ก็”
       ใหญ่ยื่นมือมา “ช่วยแก้ผ้าพันแผล แล้วก็ทำความสะอาดแผลให้ที”
       ปิ่นอนงค์อนงค์อึ้ง
       
       ถวิล กับจอมเดินกลับเข้ามาที่เรือนคนงาน หวานยืนชะแง้คอยอยู่
       “เป็นไงมั่งลุง”
       “ไปกันหมดแล้ว” ถวิลบอก
       “ตกลงมันเป็นพวกไหนกัน” หวานสงสัย
       “ก็ไอ้คนที่ฉันเจอที่บ่อนนั่นแหละ มันต้องมีลับลมคมนัยอะไรแน่ ถึงบุกมาที่นี่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีผู้ร้ายเข้ามาในไร่”
       จอมเห็นด้วย “นั่นซิ ถ้ามีฉันก็ส่องมันดับไปนานแล้ว”
       “แต่พ่อว่า ช่วงนี้แกต้องวางเวรยามเข้มงวดหน่อย พ่อไม่ไว้ใจไอ้คนที่มันมาวันนี้” ถวิลบอกสำทับ
       หวานยืนคิดตาม แล้วหันจะเข้าบ้าน เจอเปี๊ยกยื่นหน้าปะแป้งลายพร้อยเข้ามา
       หวานตกใจร้องกรี๊ด “อ๊ายยย”
       ถวิล กับจอมหันไปจะชักปืน หวานฟาดๆ เปี๊ยกร้อง “โอ๊ย”
       “แกเองเหรอไอ้เปี๊ยก ไอ้ผัวบ้า โผล่มาได้คนยิ่งใจคอไม่ดี”
       เปี๊ยกอ้อแอ้ถาม “เรื่องอะไร”
       “ป่านนี้มาถามว่าเรื่องอะไร ขี้เกียจเล่า เดาเอาเองก็แล้วกัน” หวานเดินเข้าไป
       เปี๊ยกหันไปทางจอม “ฉันจะเดินยามอีกซักรอบนะพ่อ” จอมบอก
       ถวิลพยักหน้า พอเปี๊ยกจะหันมาถาม ถวิลตัดบท “ข้าง่วงว่ะ ไอ้เปี๊ยก ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง”
       ถวิลหนีไปอีกคน เปี๊ยกขัดใจ
       
       ปิ่นอนงค์ทำแผลให้ใหญ่ ราดยาแดง มือสั่น ใหญ่กลั้นยิ้มแกล้งร้องโอดโอย
       “โอย”
       “ขอโทษ ฉันขอโทษ”
       “ไม่รู้จะเป็นบาดทะยักรึเปล่า ถ้าฉันตาย เธอต้องบาปมากรู้มั้ย” ใหญ่ว่า
       “ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ ตอนนั้นฉันกลัวมากเพื่อความปลอดภัย ฉันว่าคุณน่าจะไปหาหมอดีกว่านะ”
       “อย่ามาหลอกให้ยาก ขืนไปก็ถูกลากเข้าตะรางซิ”
       “คุณทำผิดร้ายแรงมากเหรอ ถึงต้องหนี”
       “ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ปล้น...แล้วก็ฆ่าไปสองสามคน” ใหญ่บอกราวกับเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ
       ปิ่นอนงค์ทำแผลเสร็จ จะเอาพวกยาและอุปกรณ์ไปเก็บ แต่กลัวจนทำยาร่วงจากมือ ใหญ่จับสังเกตอยู่ จึงเอ่ยขึ้น
       “แต่ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรผู้หญิงหรอก โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ อย่างเธอ”
       ใหญ่คว้ากระเป๋าควักเงินออกมาให้ปิ่นอนงค์อีกหมื่นหนึ่ง
       “อะ นี่ฉันให้เธอ”
       “ค่า ค่าอะไร” ปิ่นอนงค์ฉงน
       “ค่าทำแผลแล้วก็ค่าห้อง ฉันจะนอนที่นี่” ใหญ่บอกหน้าเฉย
       ปิ่นอนงค์ตะลึง “อะไรนะ”
       ใหญ่กวาดทุกอย่างตรงหน้าปิ่นอนงค์ไปไว้หัวเตียงเอาหมอนปิด จากนั้นก็ดึงกึ่งประคองปิ่นอนงค์ลงนอนบนหมอน ด้วยกันปิ่นอนงค์หน้าเสีย พนมมือไหว้ร้องขอ น้ำตาไหลพราก กลัวเหลือแสน
       “ชั้นไหว้ล่ะ อย่าทำอะไรชั้นเลยนะ ชั้นกลัวแล้ว ปล่อยชั้นไปเถอะ...”
       ใหญ่วาดหน้าดุใส่ “อย่าโวยวายไปไหน่อยเลยน่า แค่ขอนอนกอดเอาไว้เป็นตัวประกัน เผื่อจะหนี”
       ว่าพลางใหญ่นอนกอดปิ่นอนงค์ราวกับเป็นหมอนข้าง ปิ่นอนงค์นอนตัวสั่น กลัวสุดๆ
       
       ด้านจอมเดินลาดตระเวนมาที่หน้าเรือนปิ่นอนงค์ เห็นที่หน้าต่างยังเปิดไฟอยู่ แต่มีผ้าม่านบังจึงไม่เห็นอะไรข้างใน จอมมองไปแล้วยิ้มอยู่คนดียว เพราะรักปิ่นอนงค์มากมาย ขอเห็นแค่หลังคาบ้านก็ยังดี
       “นอนให้สบายนะ จอมไม่มีทางให้ใครมาทำร้ายปิ่นเด็ดขาด”
       จอมไม่รู้ว่าภายในห้องนอนเวลานั้น ปิ่นอนงค์น้ำตาไหลพราก สะอื้นจนตัวโยน
       
       ขณะที่ใหญ่แกล้งหลับ พร้อมกับทำเสียงกรนดังขึ้นเรื่อยๆ

------------------------------------------------------------------        
       โปรดติดตามอ่านตอนที่ 2


No comments:

Post a Comment