Wednesday, July 18, 2012

ดูละครปิ่นอนงค์ ตอนที่ 9 Pin Anong 偷心俏冤家 9

>> ปิ่นอนงค์ Pin Anong 偷心俏冤家 EP09

ปิ่นอนงค์ ตอนที่ 9 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 ครองสุขถูกพยุงกลับมายังห้องนอนในบ้านที่รีสอร์ต ครองสุขนอนหลับตาบนเตียง สูดลมหายใจฟืดฟาด ทัศนีย์ยืนอยู่ข้างเตียง คอยส่งยาดมจ่อจมูกครองสุข สลับกับดมเองบ้าง
       
       อุ่นเรือนใจจะขาดบีบมือครองสุข บีบนวดแขน ขา ไม่นานนักครองสุขก็ปรือตาได้สติ มองไปมา
       “ธีระ ธีระล่ะ ไอ้ใหญ่ยิงธีระตายแล้ว ใช่มั้ย”



       “ไม่ค่ะ คุณธีระยังไม่ตาย คุณนายทำใจดีๆ นะคะ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น”
       ทัศนีย์แขวะประสาปากไว “ใช่ ... ห่วงตัวเองมากๆดีกว่าคุณน้า แหมได้สติขึ้นมา ก็ถามหากิ๊กเลยนะ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ อายุก็ปูนนี้แล้ว”
       ครองสุขฟาดแขนทัศนีย์ดังเผียะ ทำท่าจะตีต่อ ทัศนีย์พุ่งหลบไปปลายเตียง
       “ไปไกลๆ เลยยัยนี”
       “ไปอยู่แล้ว แต่จะบอกคุณน้าเอาบุญ นายธีระมันก็หน้ามืดเป็นลมเหมือนคุณน้านี่แหละ พวกลูกไร่หามไปที่เรือนคนงานแล้ว แมนซะไม่มี”
       ครองสุขเอาหมอนขว้างทัศนีย์ “ไป ไปให้พ้น”
       อุ่นเรือนปลอบ “คุณนาย ใจเย็นๆ ค่ะ”
       ทัศนีย์ออกไป ครองสุขยันตัวนั่งพิงหัวเตียง สร้างภาพให้น่าสงสารต่อ “เห็นมั้ย นังอุ่น ตอนนี้ แม้แต่นังนีมันก็ไม่เคารพฉัน มีแต่คนเหยียบย่ำซ้ำเติม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตกต่ำขนาดนี้” 
       อุ่นเรือนจับมือครองสุขมากุม มองอย่างห่วงใย “อุ่นก็จนปัญญา ไม่รู้จะปกป้องคุณนายได้ยังไง ถ้าตายแทนได้อุ่นก็จะทำ”
       มีเสียงเคาะประตู ก่อนที่ปิ่นอนงค์จะเข้ามาหน้าตาตื่น คุกเข่าข้างเตียงมองอุ่นเรือน มองครองสุข “คุณนายเป็นยังไงบ้างคะ”
       “คงผิดหวังมากละซิ ที่ฉันยังไม่ตาย แต่แกไม่ต้องกลัว มันคงไม่นานนี้แล้วละ”
       ปิ่นอนงค์ลำบากใจ “ไม่ใช่....”
       อุ่นเรือนไล่ตะเพิด “ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก”
       “แม่จ๊ะ ปิ่นเป็นห่วงคุณนายจริงๆ ... ห่วงทุกคน แม่ด้วย...”
       อุ่นเรือนเข้าจับแขนปิ่นอนงค์ลากออกไป ด่าซ้ำ
       “ถ้าแกห่วงจริง คุณนายคงไม่ต้องมานอนป่วยอยู่ที่นี่ ออกไปไปอยู่กับผัวโจรของแก เสวยสุขบนความทุกข์ของผู้มีพระคุณให้พอ ไป”
       ปิ่นอนงค์ถูกอุ่นเรือนกระชากลากถูออกไป แล้วกระแทกประตูปิด กดล็อก
       “แม่...” ปิ่นอนงค์ร้องไห้น้ำตาคลออยู่หน้าห้อง เสียใจที่แม่ไม่ฟังอะไรเลย
       ใหญ่นั่งทำความสะอาดปืนไปมา ปิ่นอนงค์หน้าเครียด เดินเข้ามาท่าทีโกรธๆ “ทำไมคุณใหญ่เป็นคนใจร้ายอย่างนี้ ถ้าคุณนายหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองแตก จะทำยังไงคะ”
       ใหญ่ฉุนนิดๆ “อะไรกันปิ่นอนงค์ เจอหน้าก็ต่อว่ากันฉอดๆ ชั้นไปทำอะไรให้เธอเหรอ”
       ปิ่นอนงค์ว่าต่อ “คุณใหญ่เอาคุณธีระเป็นเป้าซ้อมปืน ยิงตั้งหลายนัด ถ้าพลาดขึ้นมาจะทำยังไงคะ”
       ใหญ่กวนใส่ “ถ้าพลาด ธีระก็ตาย หรือไม่ก็พิการน่ะสิ ถามได้”
       “แล้วถ้ากระสุนไปโดนคนอื่นหรือว่าแม่ของปิ่นคุณใหญ่จะรับผิดชอบยังไงคะ หรือว่าใครจะเป็นจะตายก็ช่างหัวมัน ขอให้คุณใหญ่ได้สะใจแค่นั้นก็พอ อย่างนั้นเหรอคะ”
       ใหญ่ชักโมโห จ้องหน้าปิ่นอนงค์ “เธอคิดว่าชั้นเป็นคนอย่างนั้นเหรอปิ่น”
       “ก็การกระทำของคุณใหญ่มันบอกอย่างนั้น” ปิ่นอนงค์ของขึ้นต่อ
       ใหญ่ลุกไปจับแขนปิ่นอนงค์นั่งลง “ฟังชั้นให้ดี ปิ่นอนงค์ ที่ชั้นทำอย่างนั้นก็เพื่อต้องการลองใจคน”
       ปิ่นอนงค์ไม่เข้าใจ “ลองใจใครคะ”
       ใหญ่นั่งลงตรงข้ามปิ่นอนงค์มองจ้องตา
       “เธอก็อยู่ที่นี่มานาน ไม่ผิดหูผิดตาอะไรบ้างเหรอ ธีระก็แค่คนงานในไร่คนหนึ่ง ทำไมคุณนายให้ความใกล้ชิดสนิทสนม ทำไมต้องปกป้องห่วงใยกันขนาดนี้”
       ปิ่นอนงค์แย้งพาซื่อ “คุณธีระเป็นผู้จัดการของไร่ คุณนายก็ต้องเป็นห่วงลูกน้อง ก็ถูกต้องแล้วนี่คะ”
       ใหญ่ยัวะ “นี่ชั้นต้องแอบถ่ายคลิปมาให้เธอดูก่อน เธอถึงจะเชื่อว่าสองคนนี้เป็นชู้รักกันอย่างนั้นเหรอ”
       สีหน้าปิ่นอนงค์เริ่มเจื่อนๆ เพราะสงสัยอยู่เหมือนกัน “ก็คุณใหญ่กล่าวหาคนอื่นโดยไม่มีพยานหลักฐานนี่คะ”
       ใหญ่ตบโต๊ะด้วยปืนดังปัง ปิ่นอนงค์สะดุ้ง
       “ที่ชั้นต้องหนีไปจากไร่ ก็เพราะชั้นทำร้ายไอ้ผา ผัวเก่าของคุณนาย ที่มาเล่นชู้กันที่ไร่นี่ ชั้นรู้ชั้นเห็นกับตา คุณนายปอกลอก หลอกลวงพ่อของชั้น รู้เอาไว้ซะ ปิ่นอนงค์”
       ปิ่นอนงค์ตกใจ ตาค้าง คาดไม่ถึง
       
       อรสอางค์ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ข้างหน้าต่างในห้องอยู่สักครู่ แล้วยิ้มสะใจออกมา
       “ค่ะ คุณแม่ สวัสดีค่ะ”
       อรสอางค์กดวางสาย หันมามองจิ๋วที่นั่งยิ้ม “คุณแม่หาฤกษ์แต่งงานของอรกับคุณนะได้แล้วค่ะ”
       อรสอางค์เข้ามานั่ง หยิบปากกาจดฤกษ์ใส่กระดาษ ส่งให้จิ๋วดู จิ๋วอึ้งดูเป็นกังวล
       “แล้วเราจะเตรียมงานกันทันเหรอคะ ฉุกละหุกอย่างนี้”
       “ยังไงก็ต้องทำให้ทัน เราจะได้ไปจากไอ้ไร่นรกนี่ให้เร็วที่สุด”
       ทรรศนะหน้าตื่นเข้าห้องมา
       “คุณใหญ่ก่อเรื่องอีกแล้วอร คุณน้าเป็นลม พวกคนงานพาไปที่รีสอร์ตแล้ว รีบไปดูคุณน้ากันเถอะ”
       อรสอางค์ไม่ห่วงสักนิด “แค่เป็นลม ดมยาดมเดี๋ยวก็หาย ไปก็ไปแย่งอากาศหายใจกันเปล่าๆ นะไปดูคนเดียวก็แล้วกัน”
       แล้วอรสอางค์ก็หยิบกระดาษจากมือจิ๋วส่งให้ทรรศนะ
       ทรรศนะมองกระดาษในมืองงๆ
       “ฤกษ์แต่งงานของเรา ท่านเจ้าคุณที่คุณแม่นับถือหามาให้ เอาไปให้คุณน้าดูด้วยนะคะ”
       ทรรศนะจ๋อย ดูฤกษ์ไป มองอรสอางค์ไป อึ้งในความเห็นแก่ตัว
       
       ครองสุขนั่งซึมที่หัวโต๊ะ ทรรศนะนั่งข้างๆ กุมมือครองสุขหน้าเศร้า
       “ผมเสียใจจริงๆ ครับ ที่ปกป้องคุ้มครองอะไรคุณน้าไม่ได้เลย”
       ครองสุขลูบหัวลูกชาย “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง น้าไม่เป็นอะไรหรอก”
       “ถ้าผมแต่งงานกับอรเมื่อไหร่ ผมจะพาคุณน้าไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ให้คุณพ่ออรหางานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ ผมจะได้เลี้ยงดูคุณน้า คุณน้าไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว”
       ครองสุขซึ้งจัด “โถ... ลูก...”
       ทรรศนะหน้าซื่อ หยิบกระดาษจดฤกษ์แต่งงานส่งให้ครองสุข
       ครองสุขรับไปดู งงๆ
       “คุณหญิงหาฤกษ์แต่งงานให้ผมกับอรได้แล้วครับ
       ครองสุขอึ้ง ยิ้มหน้าเจื่อนๆ “รวบรัดอย่างนี้ สินสอดตั้งหลายบาท น้าจะไปหาได้ที่ไหน ตอนนี้”
       ทรรศนะกังวลขึ้นมาทันที “แต่เราคงบ่ายเบี่ยงคุณหญิงแม่ของอรไม่ได้แน่ คุณน้าพอมีอะไรขายได้ก็ขายไปก่อนได้มั้ยครับ”
       ครองสุขเผลอหลุดปาก “มันจะเหลืออะไรให้ขายได้อีกล่ะ”
       ทรรศนะมองหน้า ครองสุขรีบยิ้มกลบเกลื่อน “นะไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรที่เกินความพยายามของน้า กลับไปบอกหนูอรได้เลยว่าทางเราพร้อม”
       ทรรศนะยิ้มออก กราบที่ไหล่ครองสุข “งั้นผมไปหาอรก่อนนะครับ”
       ครองสุขยิ้มพยักหน้า ทรรศนะออกไป ครองสุขหน้าเครียดจัด
       ระหว่างนั้นอุ่นถือถาดใส่ชามโจ๊ก เครื่องปรุงเข้ามาเสิร์ฟ
       “ถึงจะเป็นโจ๊กซอง แต่อุ่นก็ใส่หมูสับปรุงรสกับไข่ด้วยนะคะ”
       ครองสุขเหลือบมองอุ่นเรือน แล้วแสร้างทำสะอึกก้อนสะอื้นในคอ
       ครองสุขเช็ดน้ำตาป้อยๆ “ตั้งแต่พ่อตาย ก็มีแต่แกคนเดียวนี่แหละที่ไม่เคยทอดทิ้งชั้น”
       อุ่นเรือนรีบคุกเข่าจับมือครองสุขมากุม “อุ่นรับปากกับคุณพ่อคุณนาย อุ่นไม่มีวันทิ้งคุณนายเด็ดขาด แม้แต่ชีวิตอุ่นก็ให้คุณนายได้ค่ะ”
       ครองสุขหยั่งเชิงลองใจอีก “ถ้าต้องเลือกระหว่างชั้นกับปิ่นอนงค์ล่ะ”
       อุ่นเรือนหน้าเครียดขึ้นมา “ถ้านังปิ่นมันทรยศคุณนายได้ อุ่นก็ไม่นับมันเป็นลูกหรอกค่ะ”
       ครองสุขกอดอุ่นเรือนแสร้งทำเป็นซาบซึ้งใจ “โธ่ อุ่น แกมันเป็นเพื่อนตายของฉันจริงๆ”
       ครองสุขผละออก กุมมืออุ่นเรือนไว้ “อุ่น แกต้องช่วยชั้นนะ”
       สองบ่าวนายสบตากันซาบซึ้ง อุ่นเรือนมองเป็นเชิงถาม
       
       คืนนั้นปิ่นอนงค์เปิดโทรทัศน์ แต่ไม่ดู นั่งเหม่อครุ่นคิด เสียงใหญ่ก้องในหัว
       “ที่ชั้นต้องหนีไปจากไร่ ก็เพราะชั้นทำร้ายไอ้ผา ผัวเก่าของคุณนาย ที่มาเล่นชู้กันที่ไร่นี้ ชั้นรู้ชั้นเห็นกับตา คุณนายปอกลอกหลอกลวงพ่อของชั้น รู้เอาไว้ซะ ปิ่นอนงค์”
       ปิ่นอนงค์เครียดกดรีโมทปิดทีวี
       ปิ่นอนงค์ลุกจะเดินออกไป อุ่นเรือนเข้ามาร้อนรน เหลียวซ้ายแลขวา ปิ่นอนงค์ดีใจมาก
       “แม่ ... มีเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ คุณนายเป็นอะไรไปรึเปล่า”
       อุ่นเรือนรีบเข้าไปจับแขนปิ่นอนงค์ลงนั่ง ปิ่นอนงค์งง
       “ปิ่น ... คุณนายกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน แกไปเอาเครื่องเพชรแต่งงานมาให้คุณนายยืมก่อน เสร็จเรื่องแล้วแม่จะเอามาคืน”
       “แม่ เครื่องเพชรชุดนั้นคุณใหญ่ซื้อให้ปิ่น ถ้าคุณใหญ่รู้ว่ามันหายไป”
       อุ่นเรือนคะยั้นคะยอ “ก็บอกแล้วไงคุณนายแค่ขอยืม”
       “แม่แน่ใจเหรอจ๊ะว่า คุณนายจะเอามาคืนได้จริง”
       อุ่นเรือนขึ้นเสียง “นังปิ่น เดี๋ยวนี้แกเห็นผัวแกสำคัญกว่าคุณนาย สำคัญกว่าชั้นอย่างนั้นเหรอ”
       สองแม่ลูกสบตากัน
       “ไม่ใช่นะแม่ ปิ่นแค่เป็นห่วง คุณนายอาจจะปิดบังความจริงเราหลอกให้เราช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่คุณนายกำลังทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”
       อุ่นเรือนฉุน “แกพูดเรื่องอะไรของแก”
       “เรื่องคุณนายกับนายผา” ปิ่นอนงค์โพล่งขึ้น
       อุ่นเรือนตกใจ ลุกพรวด ชี้หน้าปิ่นอนงค์ “แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แกไปฟังใครมา เดี๋ยวนี้แกกล้าลามปามคิด ใส่ร้ายคุณนายแล้วเหรอ”
       “ปิ่นไม่ได้ใส่ร้าย ปิ่นก็แค่สงสัย”
       “แกไม่มีสิทธิ์สงสัยอะไรทั้งนั้น ตกลงแกจะให้หรือไม่ให้”
       “ปิ่นคงต้องบอกคุณใหญ่ก่อน”
       อุ่นเรือนมองจ้องปิ่นอนงค์อย่างโกรธจัด แล้วจะเดินออกจากห้อง ปิ่นอนงค์ดึงไว้
       “แม่” ปิ่นอนงค์คราง
       “ปล่อยฉัน นังคนเนรคุณ”
       ปิ่นอนงค์ไม่ยอม อุ่นเรือนพยายามสะบัดแล้วก็แน่นหน้าอก ทรุดลง
       “แม่ แม่” ปิ่นอนงค์ตกใจมาก
       ใหญ่เข้ามาพอดี “ป้าอุ่นเป็นอะไร”
       “คุณใหญ่ช่วยแม่ด้วยค่ะ”
       
       ที่โรงพยาบาลเวลาต่อมาปิ่นอนงค์ยืนเกาะราวกั้นเตียง มองอุ่นห่วงใย ใหญ่นั่งกอดอก มองปิ่นอนงค์อย่างเห็นใจ ครู่ต่อมาอุ่นเรือนกระแอมไอ รู้สึกตัว ลืมตาตื่นช้าๆ มองไปข้างเตียง
       ปิ่นอนงค์ยิ้มดีใจ “แม่ฟื้นแล้ว แม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
       ใหญ่ลุกไปดูอุ่นเรือน ห่วงใยจริงใจ “ป้าอุ่นทำใจสบายๆ นะครับ หมอบอกป้าไม่เป็นอะไรมากหรอก พักผ่อน ...”
       อุ่นเรือนมองใหญ่ตาขวางพูดสวนออกมา
       “ไม่ต้องมายุ่งกับดิฉัน เพราะคุณคนเดียวทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายอย่างนี้ ไร่ไพศาลเคยมีแต่ความสงบร่มเย็น ตอนนี้มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะคุณ” อุ่นเรือนถูกความจงรักภักดีปิดบังตาจนมืดบอดสนิท
       ปิ่นอนงค์ตกใจ “แม่ ... ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะจ๊ะ คุณใหญ่อุตส่าห์พาแม่มาโรงพยาบาล ขอโทษแทนแม่ด้วยค่ะ คุณใหญ่” ปิ่นอนงค์หน้าเศร้า
       “ไปขอโทษทำไม ฉันพูดความจริง”
       “แน่ใจเหรอครับป้าอุ่น ว่าไร่ไพศาลเดือดร้อนวุ่นวายเพราะผม ไม่ใช่เพราะคุณนายครองสุขเจ้านายป้าหรอกเหรอที่เป็นคนทำ” ใหญ่ว่า
       “คุณมีสิทธิ์อะไรมาว่าคุณนาย”
       ใหญ่ถียง อารมณ์เริ่มมากรุ่นๆ “ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ไม่ใช่เพราะคุณนายหรอกเหรอที่ทำให้พ่อกับผมต้องพลัดพรากจากกัน แทนที่จะสำนึกผิด กลับมามุ่งร้ายหมายชีวิตผมอีก แม้แต่ปิ่นอนงค์เด็กในปกครองตัวเองแท้ๆ คุณนายก็ไม่ละเว้น”
       “คุณนายไปทำอะไรนังปิ่น อย่ามาปรักปรำคุณนายพล่อยๆ” อุ่นเรือนโต้
       “ก็จงรักภักดีไม่ลืมหูลืมตาอย่างนี้ ป้าอุ่นเลยไม่รู้ตัวว่าเป็นเครื่องมือของคุณนายทำร้ายลูกตัวเองโดยไม่รู้ตัว” ใหญ่พูดหยัน
       อุ่นเรือนชักสีหน้าไม่พอใจ “ไม่ต้องมาทำสั่งสอนชั้น คุณนั่นแหละทำให้พ่อตัวเองช้ำใจตาย ลูกอกตัญญู”
       ปิ่นอนงค์ทนไม่ไหว ห้ามแม่ “พอเถอะค่ะ คุณใหญ่คะ ไปรอปิ่นข้างนอกก่อนนะคะ ปิ่นขอร้อง”
       ใหญ่สะบัดตัวเดินออกไป
       ปิ่นอนงค์หยิบแก้วน้ำ ส่งให้อุ่นเรือน อีกมือกำลังจะหยิบถ้วยยาเล็กๆ ในถาด
       “แม่กินยาที่หมอให้ก่อนนะจ๊ะ”
       อุ่นเรือนปัดแก้วน้ำกระเด็นไป
       “ชั้นไม่กิน ชั้นอยากตาย จะอยู่ไปทำไมถ้าต้องทนเห็นคุณนายตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ ชั้นตายซะยังดีกว่า
       อุ่นเรือนร้องไห้ออกมาอีก ปิ่นอนงค์มองหน้าเครียด ปิ่นอนงค์ตัดสินใจบางอย่าง
       ปิ่นอนงค์รินน้ำแก้วใหม่ ส่งน้ำ ส่งยาให้แม่
       “ปิ่นจะทำทุกอย่างที่แม่ขอ ปิ่นสัญญา แม่กินยาก่อนนะจ๊ะ”
       อุ่นเรือนยังคงร่ำไห้สะอึกสะอื้น ขณะมองสบตากับปิ่นอนงค์
       
       ในแสงสลัวของตู้เซฟภายในห้องทำงาน กล่องเครื่องเพชรถูกเปิดออกโดยมือปิ่นอนงค์ เพชรเล่นแสงวูบวาบล้อสายตา ก่อนที่กล่องจะถูกปิดลง 

----------------------------------------------------------------

ครองสุขเร่งรีบออกจากห้องพัก เกือบชนกับธีระที่กำลังเดินสวนเข้ามาพอดี
       
       “ว้าย ธีระ”
       ธีระออกอาการงอนๆ ไม่ครองสุขไม่แวะไปดูอาการ
       “ตกใจที่ผมยังไม่ตายเหรอครับพี่ครอง ผมนอนซมอยู่ ไม่เคยเห็นพี่ไปดูไปแลกันบ้าง”
       “อย่าเพิ่งมาน้อยอกน้อยใจกันตอนนี้ได้มั้ย รีบไปช่วยพี่ก่อน”
       ครองสุขว่าพลางดึงแขนธีระออกไป
       “ไปไหนพี่” ธีระงง
       
       ประตูห้องพักคนป่วยเปิดแง้มออก ครองสุขเข้ามาอย่างเร่งร้อนแล้วรีบปิดประตูลง ครองสุขตรงรี่ไปที่เตียง อุ่นเรือนนอนห่มผ้าซมอยู่
       “ว่ายังไงอุ่น ได้ของแล้วเหรอ” อุ่นเรือนค่อยๆ เลื่อนผ้าห่มลง หยิบกล่องเครื่องเพชรที่วางบนท้องส่งให้ครองสุข
       ครองสุขคว้าไปเปิดดู ยิ้มดีใจ ปิดกล่องอุ่นเรือนถาม
       “ใช้งานเสร็จแล้ว คุณนายจะคืนนังปิ่นมันใช่มั้ยคะ”
       ครองสุขใส่กล่องเพชรในกระเป๋าถือ ร้อนรน
       “แกเห็นฉันเป็นคนขี้โกงหรือไง”
       “เปล่านะคะอุ่นไม่กล้าคิดอย่างนั้น อุ่นเชื่อคุณนายค่ะ” อุ่นเรือนไอแคกๆ
       อุ่นเรือนไอออกมา แต่ครองสุขใจดำไม่ถามสักนิด “คิดๆ ดูแล้ว แกไม่สบายอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ นังปิ่นมันจะได้ไม่กล้าขัดใจแม่” ยิ้มพลางพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “ขอบใจนะอุ่น”
       ครองสุขเดินยิ้มระรื่นออกไป อุ่นเรือนมีสีหน้าไม่สบายใจเลย
       
       จอมเสียใจเรื่องปิ่นอนงค์เอาแต่ดื่มเหล้าเมามายทุกวัน เวลานี้กำลังนั่งเมาโงนเงนอยู่หน้าเรือน ถวิล เปี๊ยก หวาน นั่งมองอย่างห่วงใย
       “เอ็งจะเป็นอย่างนี้อีกนานมั้ย ไอ้จอม” ถวิลถาม
       “ก็เป็นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อ พ่อไม่ต้องมาสนใจชั้นหรอก ไปสนใจไอ้คุณใหญ่เจ้านายโจรของพ่อเถอะ ทำเป็นเล่นไปรับใช้ดีๆอาจจะได้ของโจรเป็นรางวัล หรือไม่อาจจะได้เลื่อนชั้นเป็นสมุนมือขวาก็ได้”
       จอมหัวเราะร่วน ถวิลตบจอมหัวทิ่ม “คนอย่างข้าจะรักใคร กตัญญูกับใคร ก็ใช้สติปัญญาแยกแยะ
       ว่ามันควรหรือไม่ควร ไม่ได้หน้ามืดตามัวอย่างเอ็ง อย่างนี้เค้าเรียกว่าหลงโว้ย ไม่ใช่รัก”
       เปี๊ยกสะกิดถวิล ชี้ไป ถวิล หวานมองตาม
       หมู่เฮาชาวไร่ไพศาล มองเห็นครองสุขเดินระแวดระวังมาลับๆล่อๆ
       “นั่นมันทางมาจากเรือนป้าอุ่นนี่หว่า เอ๊ะ ...หรือคุณนายมีน้ำใจมาเยี่ยมป้าอุ่น แปลกจริงๆ นะลุงหวิน ปกติคุณนายไม่เห็นจะสนใจเลย ว่าใครจะเป็นจะตาย”
       เปี๊ยกจุ๊ปากชี้อย่างร้อนรน เห็นธีระขับรถเข้ามา ครองสุขรีบขึ้นรถขับออกไป
       ถวิลมองตาม หน้าเครียด ครุ่นคิด
       
       ไม่นานหลังจากนั้น ที่บริเวณหน้าร้านเพชร ธีระในรถนั่งร่าเริง ลิงโลดสุดๆ ตบพวงมาลัยรถอย่างอารมณ์ดี ดีดนิ้ว พลางชะเง้อชะแง้ไปที่ประตูร้าน

       ธีระไม่รู้ว่าถวิลนั่งหน้าเครียดบนอานรถมอเตอร์ไซค์จับตามองอยู่ ครองสุขเดินร่าเริงออกมาจากร้าน ขึ้นรถ ธีระขับออกไป ถวิลมองตาม แล้วเดินเข้าไปในร้าน
       
       เถ้าแก่ยิ้มย่องส่องเพชรที่หยิบขึ้นมาจากกล่อง เถ้าแก่วางเพชร ก้มส่องในกล่อง
       ถวิลเดินเข้ามายิ้มน้อยๆ ท่าทีนอบน้อม เถ้าแก่มองถวิล
       “ขอโทษเฮีย ชั้นมารับคุณนาย ที่มาซื้อเพชรร้านเฮีย เมื่อครู่ใหญ่ๆ นี้เอง”
       เถ้าแก่คุยฟุ้ง “อ๋อ ... อีไม่ได้มาซื้อ อีเอามาขายยกชุด น้ำงามๆทั้งนั้น เกรดเพนนินซูล่าเชียวนะ อ้อ ... อีเพิ่งไปเมื่อกี้นี้เอง”
       “ขอบใจๆ เฮีย”
       ถวิลค้อมหัว นอบน้อมออกไป เฮียส่องเพชรต่อ
       
       ถวิลเดินเครียดมาที่รถมอเตอร์ไซค์ ก้าวขึ้นคร่อมรถหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ปลอด
       
       ปลอดยืนที่ระเบียงบ้านที่เหมือง “ขอบใจว่ะหวิน”
       ปลอดกดโทรศัพท์วางสายหน้าเครียด
       เพ็ญนั่งถักไหมพรม เหลียวมอง ปลอดปรารภกับเมีย
       “คิดไม่ผิด ปิ่นอนงค์ทำงานเป็นขบวนการเดียวกับคุณนายครองสุข ที่แต่งงานกับคุณใหญ่ก็เพราะต้องการปอกลอกทรัพย์สินของคุณใหญ่เท่านั้น”
       “ไม่อยากจะเชื่อ หนูปิ่นกริยาท่าทางออกจะซื่อๆ ที่สำคัญคุณใหญ่ดูจะรักจริงซะด้วย”
       “นี่แหละมารยาหญิง” ปลอดว่า
       “ฉันก็ผู้หญิงนะพี่ อย่าเหมารวมซิ”
       ปลอดไม่ต่อปากต่อคำ กดโทรศัพท์เบอร์ใหญ่ สีหน้าไม่สบายใจอย่างหนัก
       
       ใหญ่สวมชุดนอนนั่งอยู่ในห้องทำงาน สีหน้าเครียดเคร่ง ถือโทรศัพท์แนบหู ขยับนั่งชันเข่า มองเข้าไปในตู้เซฟ ขณะนิ่งฟัง
       “จริงครับ เครื่องเพชรไม่ได้อยู่ในตู้ ผมจัดการแน่ครับ แล้วจะส่งข่าวไป”
       ใหญ่ตัดสาย เสียงเคาะประตู ใหญ่รีบปิดตู้เซฟ เดินไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงานทำเป็นกดคีย์ เช็กโน้ตบุ๊ก
       ปิ่นอนงค์ถือถ้วยกาแฟเข้ามา วางให้ที่โต๊ะ ใหญ่แกล้งยิ้มแย้มแจ่มใส
       “ขอบใจ กำลังอยากได้กาแฟแก้ง่วงอยู่พอดี”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มบางๆ จะเดินไปที่ประตู “เดี๋ยวปิ่น ช่วยเปิดเซฟเอาเครื่องเพชรมาให้ชั้นดูหน่อยสิ”
       ปิ่นอนงค์ชะงัก หันมามองใหญ่ “ดูทำไมคะ”
       “จะตรวจเช็กดูหน่อย พรุ่งนี้ว่าจะเอาไปฝากตู้นิรภัยที่ธนาคาร” ปิ่นอนงค์ อ้ำอึ้งกลบเกลื่อนพิรุธ ใหญ่บอกต่อ “ของแพงๆ อย่างนี้ เผื่อมีโจรมาปล้นเอาไป คงเสียดายแย่”
       ปิ่นอนงค์มองใหญ่ มองเซฟ อยากบอกความจริง
       “อ้าว ... อ้ำอึ้งอยู่ได้ จะได้ช่วยกันเป็นพยานตรวจนับไง”
       ปิ่นอนงค์อึกอัก “อ๋อ ... ปิ่นเอาชุดเครื่องเพชรให้จินไปช่วยฝากตู้นิรภัยที่ธนาคารแล้วค่ะ”
       ใหญ่ผิดหวังอย่างแรง “เหรอ ก็ดี”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มเจื่อนๆ หลบตาใหญ่ไปมา “ค่ะ ปิ่นขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
       เพราะรู้สึกผิดปิ่นอนงค์รีบเดินออกไป ปิดประตูเบาๆ ใหญ่หน้าดุขึ้นมาทันที
       “ในที่สุด เธอก็ไม่ได้อยู่ข้างฉันปิ่นอนงค์”
       
       เวลานั้นที่หน้าเรือนใหญ่ ครองสุขยืนเหลียวมองล่อกแล่ก รีบหยิบซองสีน้ำตาลใส่เงินปึกใหญ่ยัดใส่กระเป๋าทรรศนะ ครองสุขกระซิบ
       “รีบซื้อแหวนหมั้นให้หนูอรก่อน แล้วก็หาเรื่องถ่วงเวลางานแต่งออกไปก่อน เข้าใจมั้ย”
       ทรรศนะกังวล “ถ้าพ่อแม่อร ไม่ยอมล่ะครับ”
       ครองสุขหยิกแขนลูกชาย “ทำไมจะไม่ยอม ก็ซื้อแหวนหมั้นให้มันเริ่ดหรูดูแพงเข้าไว้ น้าจะรีบหาสินสอดที่เค้าเรียกให้ครบแล้วตามไป”
       อรสอางค์เดินนำจิ๋วออกมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง ท่าทีหงิดดูนาฬิกาข้อมือ
       “รถยังไม่มาอีกเหรอคะ”
       “ไม่รู้จักรักษาเวลา ชาตินี้ถึงเป็นได้แค่คนขับรถ”
       ใหญ่เดินออกมามองกระเป๋าเดินทาง “จะไปเที่ยวที่ไหนกันเหรอทรรศนะ”
       อรสอางค์เหฒ้นขี้หน้าใหญ่เต็มกลืน “คุณนะ เราคงไม่ต้องรายงานใครมั้งคะว่าจะไปไหนมาไหน”
       “อ้าว ... ทรรศนะเป็นคนงานของไร่ ขาดงานไปไม่มีเหตุมีผล ก็โดนไล่ออกเท่านั้นเอง”
       อรสอางค์โมโหยกมือชี้หน้าใหญ่ “ไม่เกินไปหน่อยเหรอ ในเมื่อนะก็มีสิทธิ์ในไร่นี้”
       ทรรศนะรีบกดแขนอรสอางค์ลง “อรมีธุระนิดหน่อยที่กรุงเทพฯ ผมเลยต้องไปเป็นเพื่อน”
       รถตู้เข้ามาจอด “ดีเลย ชั้นกับปิ่นยังหาที่ฮันนีมูนไม่ได้เลย ถ้าได้ไปฮันนีมูนกันที่บ้านท่านปลัดกระทรวง คงโก้น่าดู”
       ครองสุข อรสอางค์ และทรรศนะ สบตากันไปมา ครองสุขรีบหาทางออกให้
       “จู่ๆ จะไป มันไม่ถูก ควรต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านเขาก่อน”
       จิ๋ว เชิดราวกับเจ้าของบ้าน “คงไม่สะดวก”
       ทุกคนหันไปมอง อรสอางค์กระแอม จิ๋วรู้ตัว “ที่บ้านมีแขกต่างประเทศมาพัก ตอนนี้คงรับแขกเพิ่มไม่ได้”
       ใหญ่ทำหน้าตายียวน “โธ่ ทำเป็นจริงจังไปได้ เรื่องไปฮันนีมูน ผมก็แค่ล้อเล่น” ตบบ่าทรรศนะ “ขอให้เดินทางตลอดรอดฝั่งนะไอ้น้องชาย”
       ใหญ่เดินไปทางไร่ ทุกคนโล่งใจ
       ใหญ่เสียใจเรื่องปิ่นอนงค์ หลบมากินเหล้าที่ใต้ต้นไม้ริมบึงในไร่กะเปี๊ยกสองคน เปี๊ยกน้ำตาคลอ มองใหญ่ที่อยู่ในสภาพเมาปลิ้น ใกล้ๆ มีรถกอล์ฟจอดอยู่ กลางวงมีกับแกล้ม 3 อย่าง
       “ชั้นทำดีกับเค้าทุกอย่าง โคตรรักเลย แต่มันพูดตรงๆ ไม่ได้”
       เปี๊ยกเองก็เมาแต่พยักพเยิดรู้ความตลอด เพราะเมาน้อยกว่า
       “ทำไมเค้าไม่เห็น ไม่เข้าใจชั้นเลย เค้าตอบแทนความรักของชั้นด้วยอะไร เปี๊ยกรู้มั้ย เค้าโกหก หลอกลวง ทรยศ หักหลังชั้น” ใหญ่ชี้หน้าเปี๊ยก “แกอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะโว้ย”
       เปี๊ยกโวยวายชี้ปากตัวเองว่ายังไงก็พูดไม่ได้ “เออ ลืมไป”
       ใหญ่สะเงาะสะแงะเอามือแกะเข็มขัดไปมา เปี๊ยกรีบสาดแกงในชามทิ้ง ส่งให้ใหญ่รองตรงเป้ากางเกง
       “ไม่ได้ปวดฉี่ อึดอัดท้อง”
       ระหว่างนั้นทัศนีย์ขี่จักรยานผ่านมาเห็น รีบหยุดรถ แอบดู ทัศนีย์จ้องใหญ่ที่ยืนโงนเงนอธิบายความกับเปี๊ยก ทัศนีย์ยิ้มสะใจ มีแผนการของตัวเองในความคิด
       
       ปิ่นอนงค์อยู่ที่โถงเรือนใหญ่ นั่งอ่านนิตยสารไป ชะเง้อหาใหญ่ไป น้อยถือตะกร้าใส่ผัก ผลไม้ในไร่เข้ามา
       “น้อย เห็นคุณใหญ่มั้ยจ๊ะ”
       น้อยหน้าเครียด วางตะกร้า นั่งกับพื้น “ไม่เห็นค่ะ คุณผู้หญิง”
       จู่ๆ น้อยลุกพรวดยิ้ม “ให้น้อยไปตามหามั้ยคะ คุณใหญ่คงอยู่ในไร่นี่แหละ”
       “ไม่ต้องหรอก ช่างเค้าเถอะ น้อยจะไปทำอะไรก็ไปเถอะจ้ะ”
       น้อยชูมะละกอในตะกร้าเว้าอีสาน “จะไปตำบักหุ่งใส่ปูปลาร้า เจ้าสิกินนำบ่อ อย่างแซบ ฮั่นแน่ ฟังไม่รู้เรื่องล่ะสิ น้ำลายแตกเฟียตๆ”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มบางๆ ให้น้อย แล้วชะเง้อหาใหญ่ต่อ
       ส่วนน้อยเดินไปในครัว
       โจ้เหล้าจากบ่ายจนมืดค่ำ เปี๊ยกหลับคาวงเหล้า ทัศนีย์รีบประคองใหญ่ขึ้นรถกอล์ฟ อย่างทุลักทุเล “ปิ่น ปิ่นอนงค์” ใหญ่อ้อแอ้
       “ค่ะ.. ค่ะ นีจะพาคุณใหญ่กลับไปหาปิ่นที่เรือนใหญ่ นะคะ”
       ใหญ่หลับไม่ได้สติอยู่บนรถ ทัศนีย์ขึ้นรถมองใหญ่ยิ้มกระหยิ่ม แล้วขับรถกอล์ฟออกไป
       
       คืนนั้น ปิ่นอนงค์นอนไม่หลับพลิกไปพลิกมา ที่สุดลุกนั่งครุ่นคิด หยิบนาฬิกามาดูเวลา ปิ่นอนงค์นั่งคิดเป็นห่วงใหญ่

------------------------------------------------------------------------

ในขณะที่จอมนั่งเมาอยู่คนเดียวที่ศาลาอเนกประสงค์ ปานเทพขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด เดินมามองหาใหญ่แต่ไม่เจอ ปานเทพหงุดหงิดจึงกดโทรศัพท์หา แต่ดันติดต่อไม่ได้
       
       ปานเทพเดินมาหาจอมถามดีๆ “จอมเห็นคุณใหญ่รึเปล่า”
       จอมเมาของขึ้นแล้วด้วยจึงพร้อมจะมีเรื่อง “เห็นก็สวยเลย จะเตะมันให้คว่ำไอ้กระจอก”
       ปานเทพยัวะ “เฮ้ยๆ มันจะมากไปแล้วนะ คุณใหญ่เป็นเจ้านายแกนะโว้ย”
       จอมลุกพรวด “แต่ฉันไม่นับถือ มีอะไรมั้ย”
       ปานถอย “อย่านะโว้ย ฉันไม่อยากรังแกคนเมา”
       จอมผลักปานเทพอย่างแรง ปานเทพฉุนต่อยจอมเปรี้ยง “เตือนแล้วนะโว้ย”
       ปานเทพเดินไปที่รถ จอมโดดเข้ารวบตัวปานเทพล้มลง สองคนฟัดกันไปมา จังหวะนั้นจอมได้ที นั่งทับตัวปานเทพ เงื้อมือจะต่อย ปิ่นอนงค์ขับรถเข้ามา กดแตร สาดไฟส่องหน้าจอม ก้าวลงจากรถ
       “มีเรื่องอะไรกัน”
       ปานเทพกะจอม ลุกแยกออกจากกัน “ไอ้จอม มันเมาอาละวาด” ปานเทพฮึดฮัด
       “จอม ทำไมทำแบบนี้
       “ปิ่นรู้อยู่แล้วว่าทำไม..”
       ปิ่นอนงค์ไม่อยากพูด “นายปาน คุณใหญ่หายไปไหนก็ไม่รู้”
       “นี่ผมก็ตามหาอยู่เหมือนกัน”
       เสียงโทรศัพท์ปิ่น ปิ่นอนงค์ดูจอเห็นชื่อใหญ่ “คุณใหญ่”
       ปิ่นอนงค์งง เพราะเป็นใหญ่ส่งรูปเข้ามา ปิ่นอนงค์ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือทัศนีย์ ที่ถือกล้องมือถือใหญ่ถ่ายเองด้วยมือข้างขวา
       สักครู่หนึ่งหน้าจอโทรศัพท์ปิ่นอนงค์ ก็เห็นเป็นภาพนิ่งสามรูป ใหญ่ กะทัศนีย์กอดซบกันอยู่
       ใหญ่ถอดเสื้อ ทัศนีย์อยู่ในชุดวาบหวิวบางเบา ใหญ่คร่อมครึ่งตัว หน้าซุกกะหว่างอกทัศนีย์
       ปิ่นอนงค์ ตกใจตาโต
       สักครู่ที่หน้าจอ ก็มีคลิปภาพเคลื่อนไหว เป็นภาพใหญ่ตะแคงกอดทัศนีย์ หน้าซุกไซ้ซอกคอ ในขณะที่ทัศนียิ้มพริ้มเพราลอยหน้าลอยตา ทำท่าเสียวซ่าน
       
       ภายในห้องนอนที่บ้านพักรีสอร์ตหลังหนึ่ง ใหญ่ถูกทัศนีย์จับถอดเสื้อเพราะเมาหลับอยู่ ถูกจับจัดท่า และทัศนีย์กดโทรศัพท์ใหญ่ถ่ายไปมา
       
       ปิ่นอนงค์ดูจอโทรศัพท์ หน้าเครียด กดปิด ปานเทพกะจอม มองปิ่นอนงค์ สลับกับมองโทรศัพท์ในมือ
       ปิ่นอนงค์พูดลอยๆ ไม่มองหน้าใคร
       “ไม่ต้องตามหาแล้วละ คุณใหญ่ ปลอดภัยดี”
       “แล้วคุณใหญ่อยู่ไหน”
       ปิ่นอนงค์ไม่ตอบขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที
       ปานเทพกะจอมงง
       
       รุ่งเช้า ทัศนีย์เล่นละครนั่งร้องไห้เสียอกเสียใจ นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ใหญ่ใส่เสื้อ หน้านิ่ง เหลือบมองทัศนีย์หน้าตาเฉยเมย
       “นีพาคุณใหญ่กลับมาส่งห้องผู้จัดการ คุณใหญ่กลับฉุดนีเข้าห้อง นีสู้แรงคุณใหญ่ไม่ได้ คุณใหญ่ย่ำยีนี จนป่นปี้หมดแล้ว”
       “อ๋อ ... เหรอ”
       ใหญ่เดินออกประตูไป ทัศนีย์หยุดร้องไห้ทันทีมองตาแป๋ว
       ใหญ่เดินเครียดออกมา ทัศนีย์วิ่งตามถึงแขนใหญ่รั้งไว้
       “คุณใหญ่ คุณใหญ่ได้นีแล้วจะไปเฉยๆอย่างนี้ไม่ได้นะคะ คุณใหญ่จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยเหรอ”
       จอมขับอีแต๋นบรรทุกหญ้าผ่านมา หยุดดู ใหญ่จับไหล่ทัศนีย์สองข้าง
       “ทัศนีย์ พอได้แล้ว ถึงชั้นจะเมาแค่ไหน พลั้งเผลออะไรไปบ้าง แต่ถ้าเรื่องได้ใครเป็นเมีย เมาแค่ไหนชั้นก็จำได้”
       ใหญ่ผลักไหล่ทัศนีย์เซสองสามก้าว เดินไปขึ้นรถกอล์ฟขับออกไป
       จอมแค้นใหญ่ที่นอกใจปิ่นอนงค์ ตบพวงมาลัยรถขับตาม
       
       ปิ่นอนงค์กับน้อย จัดอาหารเช้าบนโต๊ะ ต้มบ๊วยหมูสับ ไข่ต้มยางมะตูม ผัดผักรวมใส่กุ้งสด
       ปิ่นอนงค์งอนหน้านิ่งไม่พูดจา น้อยแอบมองไปมา
       ใหญ่เข้ามาตีหน้าขรึม เพราะยังโกรธปิ่นอนงค์เรื่องเครื่องเพชร น้อยสะกิดปิ่นอนงค์ให้ดู
       ปิ่นอนงค์ตักข้าวให้ใหญ่ ให้ตัวเอง แล้วนั่ง ใหญ่นั่งหน้าบึ้ง ปิ่นอนงค์ไม่ชายตามอง วางช้อนกลางใส่กับข้าว ใหญ่เหลือบมองปิ่นอนงค์งงๆ ว่าทำไมไม่พูดไม่จา ดูผิดปกติ
       ปิ่นอนงค์ตักข้าวเข้าปาก ไม่สนใจใหญ่
       ใหญ่ตักกินแล้วแกล้งโวยวายกับน้อยเรียกร้องความสนใจจากปิ่น
       “เอาอะไรมาให้ฉันกิน มันถึงได้จืดชืดไร้รสชาติอย่างนี้”
       น้อยมองหน้าปิ่นอนงค์งง เพราะปิ่นอนงค์เป็นคนทำ
       “ไข่ต้มก็ต้มไม่สุก ไม่รู้เหรอว่าฉันไม่ชอบ มันเหม็นคาว”
       ปิ่นอนงค์วางช้อน ใหญ่กระหยิ่ม ปิ่นอนงค์บอกเสียงเรียบ “น้อย เก็บโต๊ะ พี่อิ่มพอดี”
       ปิ่นอนงค์ลุกพรวด ใหญ่งงไม่เคยเห็นอารมณ์นี้ น้อยจะเก็บ ใหญ่ตบโต๊ะเปรี้ยง
       “ห้ามเก็บ ฉันยังไม่อิ่ม”
       น้อยสะดุ้งโหยง เหลียวมองปิ่นอนงค์ตาละห้อย “จะให้เก็บดี หรือไม่เก็บดี”
       “เก็บ” ปิ่นอนงค์เสียงแข็ง
       ใหญ่จ้องน้อยประมาณลองเก็บดูสิ น้อยหัวหดรีบเดินหนีก่อนโดนหางเลข
       ปิ่นอนงค์ประชด “ของไม่อร่อย ทั้งจืด ทั้งเหม็น ทั้งคาว ก็อย่าฝืนทานเลยนะคะ ลองไปให้คนอื่นทำให้ คงจะถูกใจคุณใหญ่กว่านี้”
       ปิ่นอนงค์เดินหนี ใหญ่เดินตาม “ปิ่นอนงค์ เธอไม่อยากรู้เหรอว่าชั้นหายไปไหนมาทั้งคืน”
       ปิ่นอนงค์ชะงัก “ชั้นไปนอนกับทัศนีย์มาทั้งคืน”
       ปิ่นอนงค์มองใหญ่ท่าทีเฉยเมย “ค่ะ เป็นสิทธิ์ของคุณใหญ่”
       ใหญ่สะอึก ยิ่งฉุน “อ๋อ ... ใช่สิ เธอไม่จำเป็นต้องมาสนใจไยดีอะไรกับชั้น เธอแต่งงานกับชั้นก็เพราะเงินเท่านั้น”
       ปิ่นอนงค์หน้าสลด น้อยใจนัก ใหญ่เดินกระทืบเท้าเสียงปึงๆๆ ออกไป
       
       ใหญ่มาระบายอารมณ์ยิงกระป๋องที่ตั้งเรียงกระจุยทีละกระป๋องชนิดแม่นยำเหมือนจับวาง แต่พอถึงใบสุดท้าย กระป๋องกระเด็นไปไกลเพราะฝีมือคนอื่น ใหญ่หันขวับไปข้างหลัง
       จอมนั่งเท่บนหลังม้า เล็งปืนอยู่ ใหญ่จ้องจอมแบบไม่พอใจ จอมเบนปืนมาที่ใหญ่ จ้องกันไม่กระพริบตา ใหญ่ไม่หลบ แต่ลุ้นๆ ว่าจอมจะยิงหรือไม่
       สุดท้ายจอมควงปืนเอาปากกระบอกหมุนกลับมาหาตัว แล้วยื่นปืนออกไป ทิ้งลงพื้น
       จอมลงจากหลังม้า “สำหรับคนอย่างคุณใหญ่ โดนกระสุนนัดเดียวมันง่ายไป”
       ใหญ่ยื่นปืนไปด้านข้าง แล้วปล่อยทิ้ง “แสดงว่าอยากวัดฝีมือกับฉันล่ะสิ ได้ เข้ามาเลย”
       ใหญ่กระดิกนิ้วกวนประสาท จอมด่าใส่ไม่ไว้หน้า เป็นชุด
       “วันนี้ ผมจะขอสะสางเรื่องปิ่น คุณใหญ่ใช้อำนาจความเป็นทายาทไร่ไพศาล บังคับขู่เข็ญ จิตใจของปิ่นมาตลอด สุดท้ายไม่รู้ด้วยเล่ห์กลอะไร ปิ่นต้องยอมแต่งงานกับคุณ แล้วคุณก็นอกใจปิ่นมายุ่งกับคุณนี ผมไม่ยอมให้คุณทำร้ายปิ่นอีกต่อไป”
       
       ใหญ่ยิ้มเย้ย “อยากเป็นฮีโร่ทำเพื่อผู้หญิงว่างั้นเหอะ ฉันจะบอกอะไรให้ นายควรจะตาสว่างได้แล้ว ปิ่นอนงค์ไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์อย่างที่นายคิดหรอก ปิ่นต่างหากที่วางแผนใช้มารยาหญิงต่างๆนานา ล่อลวงให้ชั้นแต่งงานด้วย เพื่อหวังจะปอกลอกทรัพย์สินของชั้น เข้าใจเอาไว้ซะด้วย”
       จอมตั้งการ์ดมวย กำหมัดแน่นโกรธมาก “ถ้าแกแพ้ แกต้องเลิกกับปิ่น คืนปิ่นมาให้ฉัน”
       ใหญ่โดนท้าทายของขึ้นนิดๆ “แล้วถ้านายแพ้ล่ะ”
       “ฉันจะออกไปจากไร่นี้!” จอมลั่นวาจา
       ใหญ่ยังไม่ทันตั้งท่า จอมพุ่งเข้าใส่ชกหน้าใหญ่เซไป ใหญ่ลูบหน้า ยิ้มสะใจ ส่ายหน้า จอมพุ่งเข้าใส่ คราวนี้ใหญ่เบี่ยงตัวถีบข้างเข้าท้อง จอมจุก ใหญ่เตะตัดขาจอมล้มลง ใหญ่จะเดินหนีไป จอมเตะขาใหญ่ล้มลง กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างสูสี
       จังหวะต่อมาต่างทรงตัวลุกได้ แลกหมัดกันไปมา จอมเตะใหญ่กันต่อยสวน จอมเช็ดเลือดมุมปาก ด้วยความโมโห พุ่งเข้าหาใหญ่
       ใหญ่หมุนตัวศอกกลับ จอมทรุด พยายามลุกชันเข่า แต่กลับทรุดลงคุกเข่าอีก เลือดหยดจากจมูกติ๋งๆ
       ใหญ่ตบไหล่จอมเบาๆ “เอาไว้ให้นายเจ๋งกว่านี้ ค่อยคิดจะมาแย่งปิ่นไปจากฉัน”
       ใหญ่เดินเคล็ดขัดยอกปัดฝุ่นตามตัวออก แล้วขึ้นรถขับออกไป
       จอมมองตาม เจ็บใจที่โดนใหญ่สบประมาท เปี๊ยกแอบดูอยู่หน้าตาตื่น
       
       ครองสุขเปิดกระเป๋าสะพายนับเงินเพลิน ปากด่าทัศนีย์ “แกนี่มันไม่ได้เรื่อง รูปร่างหน้าตาก็ดี มีประสบการณ์ก็สูง แค่ไอ้ใหญ่คนเดียวเอาไม่อยู่”
       “ก็มันกล้าๆกลัวๆอยู่ หนูเห็นมากับตา นังอ่อนนี่โดนถึงหามเลยนะน้า” ทัศนีย์เล่า
       ครองสุขด่าซ้ำ “แล้วจะมาบ่นทำไม ดูนังปิ่นซิ มันยังทนจนได้มาทั้งเพชรทั้งทอง”
       “ใครว่าจะท้อล่ะ หนูจะดีดนังปิ่นมันกระเด็นลงมาจากตำแหน่งคุณผู้หญิงของไร่” ทัศนีย์ฝันหวาน “แล้วหนูจะเป็นคุณนายไร่ไพศาลแทนมันให้ได้”
       “อย่าท่าดีทีเหลวก็แล้วกัน”
       ธีระเข้ามาพอดี ทัศนีย์เหลียวไปมอง “นีหวังสูงค่ะคุณน้า แค่ระดับคนงานกิ๊กก๊อกน่ะ ยกให้คุณน้า”
       ครองสุขปี๊ดโดนลูกสาวด่า “อี...” เอาหมอนเหวี่ยงใส่ “นังลูกเนรคุณ ด่าพ่อด่าแม่ตายไปแกต้องตกนรก”
       ทัศนีย์วิ่งจู๊ดหนีไป ธีระเข้าไปสวมกอดเอาใจ
       “อย่าโมโหไปเลยพี่ คุณนีไม่ได้ดั่งใจ ก็ยังมีผมอยู่อีกทั้งคนที่จะคอยให้ความสุขพี่”
       ครองสุขยิ้มรู้ทัน “ปานหวานแบบนี้ อยากจะขออะไรอีกล่ะ”
       “พี่ขายเพชรได้ตั้งหลายบาท” ธีระแบมือ “ไม่เห็นแบ่งให้ผมบ้างเลย”
       ครองสุขหุบยิ้มทันที “แบ่งบ้าอะไรล่ะ ค่าสินสอดยังไม่ครบเลย ขาดอีกตั้งเยอะ ทองหยองที่เก็บๆ ไว้ก็หมดแล้วด้วย ทำยังไงดีล่ะ”
       ธีระจ้องกระเป๋า ครองสุขรีบกอดกระเป๋าแน่น
       “อยากได้เงินเค้า ก็ต้องเอาเงินเราเข้าไปเสี่ยง เราเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ก็เอาไปต่อทุนสิพี่ เล่นยังมีโอกาสได้ กอดเอาไว้อย่างนั้นก็เหลือเท่าเดิม หมดไปทีละวัน ๆ ๆ”
       
       ครองสุขมองกระเป๋าที่อก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สร้างฝันลมแล้งประสาผีพนันตัวแม่ ถ้าหากเล่นได้! ปัญหานี้ก็หมดไป

------------------------------------------------------------

ถวิลนั่งตรวจสมุดบัญชี เปี๊ยกพยายามเล่าเรื่องใหญ่กับจอมสู้กัน ทำท่าต่อสู้สุดฤทธิ์ ถวิลรำคาญไม่ได้สนใจฟัง 
       
       “เงียบสักที เดี๋ยวข้าบวกลบเลขผิด เอ็งโดนแน่ไอ้เปี๊ยก”
       จอมสะพายเป้เข้ามา ถวิลเหลือบมอง “จะไปไหน ไอ้จอม”
       “ชั้นลาออกแล้วพ่อ”
       เปี๊ยกว่าเห็นมั้ยบอกแล้ว ถวิลตกใจมาก “ลาออก ลาออกทำไม มีเรื่องอะไรกับใคร”
       “ไม่มีอะไรหรอก ไอ้คุณใหญ่ของพ่อมันรับรู้แล้ว”
       จอมเข้าไปทรุดลงกราบตักถวิล “รักษาตัวดีๆ นะพ่อ ได้งานได้ที่อยู่ใหม่แล้ว ชั้นจะติดต่อมาหาอีกที”
       ถวิลลุกจอมลุก ถวิลชี้หน้าจอม “ไป เอาของไปเก็บ เอ็งจะไปไหนไม่ได้ เอ็งต้องช่วยข้า คุ้มครองดูแลคุณใหญ่”
       “พ่อเคยสอนชั้นว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง คนเลวๆ อย่างคุณใหญ่ ถ้าจะเป็นอะไรไป ก็เพราะความชั่วของตัวเองนั่นแหละ พ่อจะไปห่วงมันทำไม ดูแลปิ่นแทนชั้น อย่าให้คุณใหญ่มันรังแกดีกว่า”
       ถวิลถอนหายใจ “สุดท้ายก็เรื่องปิ่นอนงค์ ข้าจะบอกอะไรให้เอ็งรู้ ปิ่นกับคุณนายเป็นพวกเดียวกัน ข้าเองก็รู้กับหูกับตา เอ็งเลิกงมงายหลงใหลได้ปลื้มกับปิ่นได้แล้ว”
       จอมพาลโกรธพ่ออีก “พ่อก็พวกไอ้ใหญ่ เข้าข้างมันตลอด ใส่ร้ายปิ่น”
       “ถ้าเอ็งยังดื้อด้านจะไป ก็ไปแล้วไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่ออีก”
       “นี่พ่อรักไอ้ใหญ่มัน ห่วงมัน ขนาดจะตัดลูกตัดพ่อกับชั้นเลยเหรอ”
       “แล้วเอ็งล่ะ มาเถียงข้าฉอดๆจะทิ้งข้าไปก็เพราะผู้หญิงคนเดียว ไปเลยไป เอ็งจะไปไหนก็ไสหัวไป”
       จอมชะงัก เสียใจ เดินไป ถวิลมองโกรธ เปี๊ยกส่งเสียงอ้อแอ้ๆ ว่าจอมไปหาเรื่องคุณใหญ่ก่อน
       “มันไปหาเรื่องคุณใหญ่ก่อนงั้นเหรอ ไอ้ลูกโง่”
       
       ห้องโถงและทุกห้องในบ้านอรสอางค์ดูโล่งเตียนโล่ง ตู้โชว์ แจกัน ชั้นวางของหายเกลี้ยง
       อรสอางค์ไม่สนใจเปิดกล่องดูแหวนเพชร มองส่องไปมาอย่างชื่นชม
       อรยื่นไปหน้าคุณหญิงปรางทิพย์ “น้ำงามมั้ยคะ คุณแม่”
       คุณหญิงปรางทิพย์ตาโต สบตาปลัดอุทัย ซึ่งทำเป็นไม่สนใจ จิบกาแฟ
       จิ๋วยืนทำปากอู้หู
       “ไอ้พวกสินสอดของหมั้นที่เหลือ วันแต่งให้ส่งรถตำรวจไปคุ้มกันนำขบวนมาดีมั้ย ตานะ”
       “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่รับรองได้ว่า คุณน้าจัดมาเต็ม ครบตามที่คุณหญิงเรียกร้องแน่ๆครับ
       นะมองรอบๆห้อง คุณหญิงหน้าเจื่อน ล่อกแล่ก”
       อุทัยกระแอม อรสอางค์ กับจิ๋ว สบตากัน
       “ตู้โชว์ เฟอนิเจอร์ ยังซ่อมไม่เสร็จเหรอครับ ห้องดูโล่งๆ ตา” ทรรศนะถามพาซื่อ
       ปรางทิพย์รีบบอก “อ้อ ... อ๋อ ...เอาไปไว้ในห้องเก็บของจ้ะ วันงานห้องนี้ต้องใช้เนื้อที่เยอะ เดี๋ยวค่อยจัดกันใหม่”
       จิ๋วรีบเข้ารินน้ำชาให้ทรรศนะ “ใช่ค่ะวันนั้นแขกคงล้นห้อง แต่ละท่านล้วนแล้วแต่ผู้รากมากดีมียศมีศักดิ์ พวกชนชั้นไพร่เราไม่เชิญเพราะไม่คิดคบค้าด้วย”
       ปรางทิพย์มองอย่างตำหนิ “เรา...เหรอแม่จิ๋ว”
       “ค่ะเรา อุ๊ย จิ๋วหมายถึงท่านปลัด คุณผู้หญิง แล้วก็คุณหนูค่ะ”
       อุทัยลุกยืน ประชดประชันชีวิตตัวเอง “คนเราสมัยนี้มันไม่มองเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์กันแล้ว ขอให้มีเงินทองร่ำรวยมันก็ยอมยกมือกราบไหว้ ฉันเห็นแล้วละอายใจแทนวงศ์ตระกูล”
       ปลัดอุทัยมองคุณหญิง มองทรรศนะ แล้วเดินออกไป ปรางทิพย์กับอรสอางค์มองหน้ากันรู้ว่าอุทัยประชด
       
       เวลาเดียวกันครองสุขเครียดจัด พอลงจากรถก็รีบเดินเข้าบ้าน
       ธีระตาม ครองสุขหันไปผลักธีระ “เพราะเธอคนเดียวธีระ ชั้นหมดตัวเพราะเธอ แล้วทีนี้จะทำยังไง ค่าสินสอดก็ไม่เหลือ เงินจะใช้อยู่ใช้กินก็หมด”
       ที่แท้หมดตัว เดินตัวเบาออกจากบ่อนนั่นเอง
       ธีระเสียงอ่อย “ก็พี่นั่นแหละดวงไม่ดีเอง ได้มาตอนแรกผมชวนเลิกก็ไม่เลิก”
       ผีพนันสองคนโทษกันไปมาครองสุขโกรธเข้าไปตบตี จิกข่วนธีระ “นี่มาโทษชั้นเหรอ บอกให้แทงขาเดียวๆ เธอก็ไปแทงขาบ๊วยเพิ่ม นี่แน่ะๆ”
       ธีระปัดป้องไปมา ครองสุขเห็นนาฬิกาข้อมือธีระ จับแขนธีระไว้แน่น พยายามแกะนาฬิกา
       “เอามานี่เลย นาฬิกาเรือนนี้ ชั้นเป็นคนซื้อให้เธอ หลายบาท ด้วย เอามาให้ชั้นก่อน ถอด ถอดเดี๋ยวนี้”
       ยื้อแย่งถอดนาฬิกากันไปมาธีระบอก “เฮ้ย ไม่ได้นะพี่ ผมมีเรือนเดียว ให้แล้วให้เลยสิ อย่าๆ...”
       ปิ่นอนงค์ถือกล่องพลาสติคใส่สาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ เข้ามา
       ปิ่นอนงค์ชะงักมองดู ครองสุขกะธีระ หยุดกึก
       ธีระเดินหนีไป ครองสุขเท้าเอว จ้องปิ่นอนงค์ตาขวาง
       “แกมาที่นี่ทำไม นังปิ่น มาทำลับๆล่อๆน่าสงสัย อ๋อ ... มาแอบดูหาข่าวให้ไอ้ใหญ่ใช่มั้ย”
       “เปล่าค่ะ คุณนาย ปิ่นทำสาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ เอามาฝากคุณนายค่ะ”
       ปิ่นรีบเอากล่องไปวางที่โต๊ะ เปิดฝา จัดผักชี ผักกาดหอมไปมา
       ครองสุขจ้องแหวนเพชรที่นิ้วนางข้างซ้ายมือปิ่น ตาวาว
       “เดี๋ยวปิ่นจัดใส่จานให้นะคะ”
       ปิ่นอนงค์จะไป ครองสุขจับมือปิ่นอนงค์แน่น
       สองคนสบตากัน ครองสุขยิ้มเหี้ยม สลับหน้าอ่อนหวาน
       “แหวนสวยนี่ปิ่น ขอชั้นยืมมาใช้ก่อนได้มั้ย”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มสบตาลองวัดใจ “คงไม่ได้หรอกค่ะ เป็นแหวนหมั้นของคุณใหญ่ ถ้าคุณใหญ่ไม่เห็นปิ่นใส่ คุณใหญ่ต้องโกรธแน่ๆ เลยค่ะ”
       “โกรธก็ช่างหัวมัน ชั้นจะเอา ถอดมาให้ชั้นเดี๋ยวนี้ นังปิ่น”
       ครองสุขพยายามรูดแหวนออกจากนิ้ว ปิ่นอนงค์ยื้อเต็มกำลัง เหวี่ยงกันหมุนไปมา
       ครองสุขเสียหลักล้มลง ปิ่นอนงค์ตกใจ อุ่นเรือนเข้ามาเห็นก็ตกใจ
       “แค่ฉันขอผัดผ่อนยังไม่คืนเครื่องเพชรให้ แกต้องผลักชั้นด้วยเหรอปิ่น”
       ครองสุขเล่นละครทันที อุ่นเรือนเข้าประคองครองสุขลุกขึ้น มองจ้องหน้าปิ่นอนงค์อย่างแค้นจัด ปิ่นอนงค์อ้ำอึ้งไปไม่เป็น
       อุ่นเรือนตบหน้าปิ่นอนงค์เต็มแรง ปิ่นอนงค์จับแก้มที่โดนตบ “สารเลว ชั่วช้านัก ไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ชั้นฆ่าแกแน่ นังปิ่น”
       ปิ่นอนงค์ร้องไห้ วิ่งเตลิดออกไปด้วยความเสียใจ
       ครองสุขทำทีเป็นสะอื้นอย่างน่าสงสาร อุ่นเรือนเข้าประคองครองสุข สงสารนายจับหัวใจ
       
       อุ่นเรือนประคองครองสุขนั่งที่เตียง “คุณนายพักผ่อนก่อนนะคะ เดี๋ยวอุ่นไปเตรียมมื้อกลางวันให้”
       แล้วเดินออกไป
       ครองสุขนั่งครุ่นคิด เครียด เสียงโทรศัพท์เข้า ครองสุขดูหน้าจอ “ทรรศนะ”
       ครองสุขฝืนยิ้ม กดรับสาย
       ทรรศนะโทรมากจากบ้านอรสอางค์ ยิ้มแย้มแจ่มใส พยักหน้า
       “คุณน้ารีบมาก็ดีนะครับ อรกับคุณหญิงแม่เค้าไปจองโรงแรมแล้ว เราจะได้ช่วยเค้าจ่ายด้วย พวกสินสอดอย่าให้ขาดนะครับ เดี๋ยวเสียชื่อลูกเขยปลัดกระทรวงหมด”
       ครองสุขฝืนยิ้ม ทั้งที่หน้าเศร้า “ไม่ต้องห่วงจ้ะ น้าจะรีบจัดการให้”
       ครองสุขกดวางสาน นั่งนิ่งคิดเครียด
       ครองสุขลุกช้าๆ ไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งออกมา ครองสุขเดินไปที่หน้าต่าง เปิดหนังสือออก เห็นหน้าหนังสือถูกเจาะเป็นช่อง มีขวดยานัตถุ์วางเรียงอยู่ในช่อง 4 ขวด
       ที่แท้เป็นยาพิษซึ่งไม่มีฉลาก เป็นกล่องเดียวกับที่เคยวางยาไพศาลพ่อของใหญ่นั่นเอง
       
       ครองสุขเอานิ้วแตะเรี่ยไปตามขวด สีหน้าเหี้ยมโหด
       “ไอ้ใหญ่ ถ้าไม่มีแกสักคน ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น ฉันจะส่งแกไปอยู่กับพ่อแกเอง”
       
       ภาพเหตุการณ์ตอนลอบวางยาพิษไพศาล ผุดขึ้นมาในความคิดของครองสุขเป็นฉากๆ
       
       ตั้งแต่ครั้งแรกที่ครองสุขซึ่งยังสวยสะพรั่ง กำลังจับขวดยานัตถุ์หยดยาพิษสีใสใส่ถ้วยกาแฟของไพศาล คนให้เข้ากัน
       ก่อนที่จะนำกาแฟใส่ยาพิษแก้วนั้นมาให้ไพศาลซึ่งนั่งทำงานอยู่ ไพศาล ยิ้มให้ ขณะยกกาแฟดื่ม
       
       อีกครั้งตอนที่ไพศาลนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะริมสระน้ำเรือนหลังใหญ่ ครองสุข แอบเทยาพิษใส่แก้วกาแฟ เอาช้อนคน แล้วยกถ้วยกาแฟมาให้ไพศาล ไพศาลยกดื่ม ครองสุขนั่งดูดน้ำส้มข้างๆ ยิ้มให้ไพศาล
       
       อยู่มาวันหนึ่งเมื่อยาเริ่มออกฤทธิ์ จนไพศาลถูกถวิลสมัยยังหนุ่มแน่นกับคนงานไร่ ประคองเข้ามาในบ้าน ครองสุขวิ่งมาดูท่าทีตกอกตกใจ
       “ตายแล้ว คุณไพศาลเป็นอะไร”
       “เดินตรวจงานอยู่ดีดีนายก็ล้มลงไปครับ แล้วบอกว่าแขนขาไม่มีแรง”
       “มันชาไปหมด” ไพศาลบอกท่าทีโรยแรงเต็มที
       “ตามหมอมั้ยครับ” ถวิลถาม
       “ก็ตามซิ ยังต้องมาถามทำไม”
       
       หลายเดือนต่อมา
       ค่ำคืนนั้น ครองสุขเดินถือถาดใส่ถ้วยยาและน้ำเปล่ามาในห้องนอนไพศาล หยุดแล้วแอบเหยาะยาพิษลงในน้ำเปล่า แล้วถือถาดหันไป ปรากฏไพศาล ในสภาพโทรมสุดๆ ยืนค้ำไม้เท้าโซเซอยู่
       “นังงูพิษ ฉันคิดไว้ไม่มีผิด แกวางยาพิษฉันจริงๆ”
       ครองสุขเย้ย “คุณเดินได้ยังไง ก็คุณบอกว่า ขาไม่มีแรง ไม่รู้สึกอะไรแล้ว”
       “ใช่ ขาฉันมันกำลังจะเป็นอัมพาตแต่ไม่ใช่ตอนนี้”
       ไพศาลเงื้อไม้เท้า จะตี แต่ครองสุขหลบ ถาดกระเด็นตก ไพศาลหัวคะมำลงไปนอนกับพื้น
       “ฉันรักเธอ ดีกับเธอแค่ไหน ทำไมเธอคิดร้ายกับฉันได้” ไพศาลด่า
       “เพราะแกมันไม่เอาไหนไง แกให้ความสุขฉันไม่ได้”
       ไพศาลคว้ากระโปรงหรือข้อเท้าครองสุขไว้
       “ไอ้ผาเป็นผัวเธอใช่มั้ย”
       “รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ป่านนี้ไอ้ใหญ่ลูกแกมันคงกลายเป็นโจรปล้นฆ่า สันดานเลวอย่างมันก็สมแล้ว ไร่ไพศาลมันต้องเป็นของลูกชาย กับลูกสาวฉันถึงจะถูก”
       ไพศาลตาค้าง “อะไรนะ”

       ครองสุขจ้องหน้าบอก “ทรรศนะ กับทัศนีย์ไง ลูกไอ้ผากับฉัน”
       ไพศาลแค้นมาก แต่ไม่มีแรงแล้ว นอนพังพาบ ครองสุข ควักเอาขวดยาออกมา เทใส่เหยือก
       แล้วจับหน้าของไพศาลหงายขึ้น
       “ฉันอุตส่าห์ อยากให้แกค่อยๆ ตายอย่างสงบ แต่แกมันแส่เองแต่ไม่ต้องกลัวนะ ยานี่จะทำให้ประสาทแกตายอย่างช้าๆ ไม่เจ็บปวดทรมาน”
       ครองสุขจับกรอกยา ไพศาลพยายามจะดิ้น
       “นังงูพิษ กรรมต้องตามสนองแก แกจะไม่มีวันได้อะไรจากฉัน สมบัติฉันต้องเป็นของใหญ่คนเดียว”
       ในที่สุดครองสุขก็จับยากรอกปากไพศาลจนได้ “ลูกแกถ้าไม่ติดคุกจนตาย ก็คงถูกตำรวจวิสามัญ แล้วตอนนั้น ทุกอย่างก็ต้องเป็นของฉัน คุณนายครองสุขเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย
       ไพศาล ด่าไม่ออกสำลักน้ำพรวด ครองสุขหยิบผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดปากไพศาลอย่างใจเย็น ก่อนจะลุกขึ้น ปรายตามองอีกนิดหนึ่งแล้วแหกปากร้อง
       “ช่วยด้วยๆๆๆ”
       
       ครองสุขวิ่งออกนอกห้องไป

----------------------------------------------------------------

ครองสุขดึงตัวเองกลับมา มั่นใจว่าแผนร้ายจะสำเร็จเหมือนอดีต ถือขวดยาพิษ อีกมือถือแก้วน้ำ ยืนชะเง้อชะแง้ที่ประตูครัวคอยบางคน ครองสุขเห็นอุ่นเรือนมารีบเดินไปที่โต๊ะ เตรียมรินยาพิษใส่แก้ว
       
       อุ่นเรือนเข้าห้องมา ครองสุขรีบรินยาพิษใส่แก้ว
       “อโหสิกรรมให้ชั้นด้วย” ครองสุขเล่นละคร
       “คุณนายจะทำอะไรคะนั่น แล้วนี่ใส่อะไรลงไปในแก้วน้ำ”
       “ยาพิษไงล่ะ”
       อุ่นเรือนแย่งแก้วมาได้ สาดทิ้งครองสุขร้องคร่ำครวญ
       “ปล่อย อุ่น อย่าห้ามชั้น ชั้นอยากตาย ชั้นไม่เหลืออะไรแล้ว ชั้นไม่อยากติดคุกติดตะรางตอนนี้ ตานะ ยายนี จะอยู่ยังไง”
       อุ่นเรือนรีบประคองครองสุขลงนั่ง ทั้งงง และตกใจกับคำพูดนาย
       “ติดคุก ติดตะราง มันเรื่องอะไรกันคะ
       ครองสุขมองอุ่นเรือน ตีหน้าเศร้า
       
       “ไอ้ใหญ่ มันจะฟ้องฉัน หาว่าฉันฉ้อโกงทรัพย์สมบัติมัน มันขู่จะยัดเยียดข้อหาให้ฉันว่าฉันฆ่าพ่อมันด้วย”
       “แต่คุณนายไม่ได้ทำ มันจะใส่ร้ายคุณนายได้ยังไง”
       “ได้ซิ มันสร้างหลักฐานยังไงก็ได้ เพราะตอนนี้คนในไร่ก็เป็นพวกมันกันหมดแล้ว ไอ้ปลอด ไอ้หวิน ไอ้ปาน”
       “แต่พวกนั้นมันเป็นโจรนะคะ มันก็ต้องถูกจับเหมือนกัน”
       “ถึงเป็นโจรมันก็มีเงิน สมัยนี้ เงินซื้อได้ทุกอย่าง ที่สำคัญ นังปิ่นมันก็เลือกข้างไอ้ใหญ่แล้ว มันเป็นพยานปากสำคัญที่ตำรวจต้องเชื่อ ถ้าต้องติดคุก ชั้นยอมตายซะดีกว่า ไอ้ใหญ่มันทำให้ชั้นจนตรอก ชั้นไม่มีทางเลือกแล้วอุ่น ไม่ฉันหรือไอ้ใหญ่ ต้องมีใครคนหนึ่งที่ต้องตาย ทุกอย่างถึงจะจบ”
       อุ่นเรือนเครียดจัดดูท่าจะเป็นห่วงครองสุขมาก
       
       อุ่นเรือนเดินหน้าเครียดมาตามทาง จอมโผล่มาดัก อุ่นเรือนสะดุ้ง มองจอมอย่างสงสัย เห็นสะพายกระเป๋า
       “จอม จะไปไหนเหรอ”
       “ผมจะมาลาป้าอุ่น ผมลาออกจากที่นี่แล้ว แต่ผมมีเรื่องสำคัญต้องบอกป้าก่อน”
       “เรื่องอะไร”
       “คุณใหญ่กับทัศนีย์เล่นชู้กัน ปิ่นก็รู้เรื่องนี้แล้ว แต่คงลำบากใจ ทำอะไรไม่ได้ ผมเป็นห่วงปิ่นจริงๆ ป้าอุ่นช่วยดูแลปิ่นด้วยนะครับ”
       จอมไหว้อุ่นเรือน แล้วเดินไป อุ่นเรือนยืนนิ่งช็อกคาที่
       
       ทัศนีย์มองซ้ายมองขวา บิดขี้เกียจลงนอนที่เก้าอี้ยาว ในสวนหย่อม อุ่นเรือนเข้ามายืนตรงหน้า “คุณนีคะ อุ่นมีเรื่องจะถาม”
       ทัศนีย์เด้งตัวมา “ตกใจหมด เรื่องอะไรป้าอุ่น”
       อุ่นเรือนนั่งลง พูดเบาๆ กลัวคนได้ยิน “เรื่องความสัมพันธ์ของคุณใหญ่กับคุณนี”
       “พูดไป ฉันก็ยิ่งช้ำใจป้าอุ่น คุณใหญ่เค้าข่มขืนชั้นอย่างวิปริตวิตถารที่สุด ทั้งกัดทั้งทุบตี จนเขียวช้ำไปหมดทั้งตัว คิดไปคิดมาก็สงสารปิ่น คงทรมานทั้งกายทั้งใจ ชั้นเคยเตือนปิ่นแล้วนะ ปิ่นบอกว่าปิ่นทนได้ คุ้มกับการได้เป็นคุณผู้หญิง ดีกว่าต้องเป็นคนรับใช้” ทัศนีย์ตอแหลใส่ไฟใหญ่
       อุ่นเรือนทนฟังต่ออีกไม่ไหว “พอค่ะ พอแล้ว” แล้วเดินหนีไป
       “เฮอะ ถ้าสงสารลูกก็ให้มันรีบเลิกกับคุณใหญ่ซะ”
       ทัศนีย์หันไปเห็นปานเทพยืนอยู่ “ว้าย”
       “มาทำอะไรแถวนี้”
       “ก็มา มาหาของให้ลูกค้าๆ ทำของตก”
       ทัศนีย์ลนลานออกไป ปานเทพมองตาม
       
       ปิ่นอนงค์ตกใจพอรู้เรื่องจอมลาออก
       “ทำไมลุงหวินไม่ห้ามจอมไว้ ปล่อยให้จอมไปได้ยังไง”
       น้อยแทรขึ้น “โอ๊ย ยังกะพี่จอมจะฟังใครนักนี่ แต่ถ้าเป็นพี่ปิ่นละก็ไม่แน่”
       ปิ่นอนงค์ตัดสินใจจะไปตามจอม ใหญ่มายืนขวางหน้า มองหน้าน้อย น้อยกลัวหด
       “ใครจะลาออก มันไม่ใช่เรื่องที่คุณผู้หญิงของไร่ต้องวิ่งโร่ไปไล่ตาม ขึ้นเรือนเดี๋ยวนี้”
       ใหญ่คว้าข้อมือ กระชากปิ่นให้เดินตาม ปิ่นอนงค์พยายามรั้งตัวไว้
       “จอมเป็นเพื่อนปิ่นนะคะ”
       ใหญ่หันมายียวน “แต่เธอเป็นเมียฉัน ใจคอเธอจะเห็นเพื่อนสำคัญกว่าคำพูดฉันก็ให้มันรู้ไป”
       ปิ่นอนงค์สะบัดมือจนหลุด “คำพูดของคนเราจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อมันสมเหตุผลค่ะ”
       ปิ่นอนงค์หันขวับอย่างเร็ว รองเท้าพลิก ปิ่นอนงค์ล้มไปทางกระถางต้นไม้ หัวกระแทกขอบกระถาง
       “ปิ่น” ใหญ่ตกใจ
       ปิ่นอนงค์เงยขึ้นมาที่หน้าผากมีเลือดออก อุ่นเรือนสาวเท้าเข้ามาเห็นพอดี ตกใจมาก
       ใหญ่จะเข้าหาปิ่น แต่อุ่นเรือนคิดว่าใหญ่จะทำร้าย พุ่งเข้าผลักใหญ่ แล้วตามทุบตีไม่ยั้ง
       “อย่ามาแตะต้องลูกฉัน ถ้าจะทำร้ายปิ่น ก็มาทำกับฉัน ฉันจะเอาชีวิตแลกกับแก ไอ้ผู้ชายวิตถาร”
       ใหญ่พยายามปัดป้องอย่างมึนงง น้อยรีบพยุงปิ่นอนงค์ลุกขึ้น ปิ่นอนงค์วิ่งเข้าไปดึงอุ่นเรือนไม่ให้ตีใหญ่
       “อย่าแม่ น้อยมาช่วยกันหน่อยเร็ว”
       น้อยช่วยปิ่นอนงค์จับอุ่นเรือน “แม่หยุดก่อน คุณใหญ่เค้าไม่ได้....” ปิ่นจะบอกแม่ว่าใหญ่ไม่ได้ทำร้ายตน
       ใหญ่หลุดจากอุ่นเรือน คว้าข้อมือปิ่นอนงค์ดึงมา “ถ้ายังไม่หยุด แม่ยายก็แม่ยายเหอะ ผมไม่เกรงใจเหมือนกัน”
       “ปิ่น แกทนอยู่กับคนโหดร้าย เลวทรามอย่างงี้ได้ยังไง”
       ใหญ่กวนโมโห “อ๊ะๆ คุณแม่ยาย กำลังยุยงให้ผัวเมียเลิกกันมันไม่สวยนะครับ น้อย ส่งแขก”
       ใหญ่ลากปิ่นอนงค์เข้าบ้าน ปิ่นอนงค์พยายามบอกแม่ “แม่กลับไปก่อนนะ ปิ่นไม่เป็นอะไร”
       อุ่นเรือนโมโหสุดขีดสะบัดตัวหลุดจากน้อย “ปล่อย ฉันเดินเองได้”
       น้อยงง “ป้ากำลังเข้าใจผิดนะ พี่ปิ่นเค้าล้มไปเอง”
       อุ่นเรือนตวาด “ไอ้ใหญ่มันให้เงินปิดปากแกเท่าไหร่ ถึงไปเป็นพวกมันกันหมด” แล้วเดินหนีไปทางเรือนคนงาน น้อยเกาหัว
       “ป้าแกไปกินรังแตนที่ไหนมาวะ”
       
       ปิ่นอนงค์นั่ง ใหญ่ปัดผมที่หน้าผากเพื่อดูแผล ตะโกนอารมณ์เสีย
       “ไปเอายาถึงโรงพยาบาลหรือไง ถึงได้ชักช้านัก เดี๋ยวก็ไล่ออกให้หมดเลยนี่”
       “คุณใหญ่พาลไปหมด เพราะเรื่องจอมหรือเรื่องแม่ของปิ่นคะ”
       “โถใครจะกล้าโกรธแม่ยายสุดที่รักของเมียละจ้ะ” เปลี่ยนเป็นเสียงเข้ม “แต่สำหรับไอ้จอม มันก้าวร้าว ไม่เคยให้ความเคารพเจ้านายถ้าฉันยังจะเลี้ยงมันไว้ ไม่ช้ามันคงขึ้นมาขี่อยู่บนหัวฉัน”
       ปิ่นอนงค์บ่น “คุณใหญ่ไม่เห็นแก่ความขยันขันแข็งของจอม ก็น่าจะเห็นแก่ลุงหวินบ้าง อย่างน้อยลุงแกก็เป็นคนเก่าแก่ที่รับใช้คุณลุงไพศาลมานาน”
       “ถ้าฉันบอกว่า จอมมันดักทำร้ายฉัน เธอจะเชื่อหรือเปล่า”
       ปิ่นอนงค์อึ้งไป เพราะรู้ความมุทะลุของจอมดี “จอมอาจทำไปโดยขาดสติ คงไม่ได้ตั้งใจที่จะ...”
       ปิ่นอนงค์ยังพูดไม่ทันจบคำใหญ่โมโหตบโต๊ะเปรี้ยง ปิ่นอนงค์สะดุ้งเฮือก น้อยถือยากับสำลีเข้ามาพอดี
       “เธอควรจะเข้าข้างฉัน ไม่ใช่เข้าข้างคนอื่น ใส่ยาให้คุณผู้หญิง”
       ใหญ่เดินหน้าบูดบึ้งไปเลย “คุณผู้หญิงอ่ะ ทำคุณใหญ่น้อยใจแล้วเห็นมั้ย”
       ปิ่นอนงค์ร้องอู๊ยเพราะเจ็บแผล “ว้ายรอเดี๋ยวพี่ปิ่น เอ๊ยคุณผู้หญิง อู๊ย ทำไมมันเปิดยากจัง”
       น้อยพยายามเปิดฝาขวดยาแต่เปิดไม่ออก มือใหญ่มากระชากขวดยาไป ปิ่นอนงค์กับน้อยมองตามมือใหญ่เปิดได้อย่างง่ายดาย “มัวเงอะงะอยู่นั่นแหละ ถอยไป ส่งสำลีมา”
       น้อยรีบส่งให้ ใหญ่ชุบยาแล้วแตะที่แผลปิ่นอย่างเบามือ
       ปิ่นอนงค์สะดุ้งร้องออกมาอีก ใหญ่รีบชักมือกลับ
       “ทนนิด แสบแค่แป๊บเดียว”
       ใหญ่วางมือบนศีรษะ แล้วเป่าแผลให้ ปิ่นอนงค์จ้องใหญ่รู้สึกอบอุ่นกับสิ่งที่ใหญ่แสดงออกมา
       ใหญ่มองตาปิ่นอนงค์แล้วชะงัก รีบผละห่างเพราะยังไม่พอใจเรื่องเพชร ใหญ่สั่งน้อย
       “เอาพาสเตอร์ปิดให้เรียบร้อยด้วย เบามือหน่อยล่ะ”
       ใหญ่เดินออกไป น้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขณะที่น้อยปลื้มความหล่อลาก
       “เวลาคุณใหญ่งอน ก็ดูน่ารักดีเนอะ”
       
       คืนนั้น ขวดยาพิษในมืออุ่นเรือน นึกถึงคำพูดครองสุขเมื่อเช้าวันนี้
       ครองสุขส่งขวดยาพิษให้อุ่น “ตอนสมัยคุณไพศาลฉันหยอดแค่หยดเดียว กว่าจะเห็นผลก็ปาไปเป็นปี แต่สำหรับไอ้ใหญ่เราต้องรีบปิดปากมันให้เร็วที่สุด”
       อุ่นเรือนตัดสินทำสิ่งชั่วร้ายเพราะคำว่าบุญคุณปิดบังหัวใจ
       
       เที่ยงวันต่อมาอุ่นเรือนกำลังหยอดยาลงบนจานราดหน้าเนื้อเสียงครองสุขดังก้องในหัว
       “แกต้องหยอดใส่อาหารให้มันกินวันละ5 หยด ภายในหนึ่งเดือน มันจะพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ จากนั้นหัวใจมันจะล้มเหลวเหมือนพ่อมัน ต่อให้หมอเก่งแค่ไหนก็ตรวจหายาพิษไม่เจอ”
       อุ่นเรือนมือไม้สั่นเทาใจเต้นระทึก
       “แม่”
       ปิ่นอนงค์เดินเข้ามาพร้อมน้อย อุ่นเรือนสะดุ้งเฮือกรีบปิดฝาขวดแล้วยัดใส่กระเป๋าผ้ากันเปื้อน หันกลับมาหาปิ่นอนงค์เหงื่อแตกซิก
       ปิ่นอนงค์มองจานราดหน้า “แม่มาทำอาหารให้คุณนายเหรอจ๊ะ”
       “เปล่า ฉันทำให้แกกับ เออ ผัวแกนั่นแหละ เมื่อวานฉันทำเกินไปหน่อย มันรู้สึกไม่สบายใจ”
       “ไม่หน่อยหรอกป้า” น้อยว่า
       ปิ่นอนงค์รู้สึกดีใจมาก “คุณใหญ่บอกว่าไม่ได้ถือสาอะไรแม่หรอกจ้ะ”
       “ถึงงั้นก็เถอะ ฉันก็ควรทำอะไรให้เค้ารู้ว่าฉันเสียใจ เอาเป็นว่าต่อไปนี้เรื่องกับข้าวกับปลาฉันจะมาทำให้คุณใหญ่เอง”
       ปิ่นอนงค์ทักท้วง “แต่ปิ่นไม่อยากให้แม่เหนื่อย”
       อุ่นเรือนมองหน้าปิ่นอนงค์ น้ำเสียงอ่อนโยนลง “แม่อยากช่วยแก” จับบ่าปิ่นอนงค์ “ผู้หญิงเราเมื่อแต่งงาน ทั้งชีวิตก็เป็นของผัว ถ้าได้ผัวเลว ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น แม่จะไม่ยอมให้แกมีสภาพแบบนั้น แม่เลยอยากเอาใจเค้า เค้าจะได้ดีกับแกไงล่ะ”
       ปิ่นอนงค์แสนจะซึ้งใจ
       “เสร็จหรือยังป้า น้อยจะได้ยกออกไป”
       “โรยพริกไทยหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
       อุ่นเรือนโรยพริกไทย ปิ่นอนงค์จับสังเกตเห็นมืออุ่นเรือนสั่นผิดปกติดูมีพิรุธ
       “แม่ไม่สบายหรือเปล่าจ้ะ หรือว่าแม่ลืมกินยาอีกแล้ว”
       อุ่นเรือนรีบวางขวดพริกไทย ใจเต้น “ไม่ลืม เสร็จงานนี่แม่ก็จะกลับไปกิน”
       ปิ่นอนงค์ส่งชามให้น้อย น้อยดม “ฮือ ฮ้อมหอม มีเหลือให้น้อยอีกสักจานมั้ยป้า จะไปแบ่งกับพี่หวาน พี่หวานเค้าชอบราดหน้าฝีมือป้า”
       อุ่นเรือนตกใจ บอกเสียงดัง “เอาไปไม่ได้!” สองสาวงง “เออ คือฉันทำไว้แค่จานเดียวเพราะปิ่นมันไม่กินเนื้อ แม่ทำราดหน้าทะเลไว้ให้แกแล้ว”
       อุ่นเรือนมองไปทางโต๊ะ มีราดหน้าทะเลของปิ่นอนงค์วางอยู่เรียบร้อย ปิ่นอนงค์มองมาที่จานราดหน้าเนื้อในมือน้อย
       “คุณใหญ่ชอบทานเนื้อ ยิ่งรู้ว่าแม่ทำ คงกินไม่เหลือแน่”
       
       ปิ่นอนงค์ยิ้มกับแม่รู้สึกดีใจที่สองคนจะเข้ากันได้เสียที แต่อุ่นเรือนกลับมีสีหน้ากังวล

------------------------------------------------------------------------

 ใหญ่กับปานเทพหน้าเครียดทั้งคู่ขณะมองถวิลที่มารายงานเรื่องครองสุขเข้าบ่อน 
       
       “ขอบใจมากนายหวินที่มาส่งข่าว”
       ถวิลก้มหัวให้แล้วจะไป “เดี๋ยวก่อนนายหวิน เรื่องที่จอมลาออก”
       ถวิลขัดขึ้นทันที “ไม่เกี่ยวกับคุณใหญ่หรอกครับ มันก็นิสัยแบบนี้ ดีแต่ใช้อารมณ์ เดี๋ยวพอมันหายโกรธ มันก็กลับมาเอง”
       “นายหวินน่าจะไปตามสักหน่อย จอมจะได้รู้ว่าพ่อเป็นห่วง” ใหญ่สะท้อนใจนึกถึงตัวเอง
       “ตอนมันเป็นเด็กตัวเล็กๆ จะพูดจะสอนอะไรมันก็เชื่อฟังดีหรอกครับ แต่พอโตเป็นหนุ่ม อย่าหวังเลยว่ามันจะฟังเรา กลายเป็นเราจู้จี้ขี้บ่น มันไม่เคยเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อหรอก”
       ถวิลไป ใหญ่คิดตาม ปานเทพเอ่ยขึ้น “นายหวินพูดเหมือนพ่อปลอดของฉันเลยว่ะ แสดงว่าที่พ่อด่าฉัน บ่นฉัน ก็เพราะพ่อรักฉันมากสิวะ”
       “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก พ่อที่ด่าเพราะเกลียดลูกก็มี”
       ใหญ่หงุดหงิดเดินไป ปานเทพรีบเรียกไว้
       “เฮ้ย แล้วเรื่องที่นายหวินสืบมาได้ว่ายัยคุณนายมหาภัยเข้าบ่อนสูญเงินไปจนหมด แกจะเอายังไง เงินนั่นต้องเป็นเงินที่ขายเครื่องเพชรของแกไปแหงๆ แกจะยอมให้โดนหลอกไปเรื่อยๆอย่างนี้เหรอ”
       ใหญ่หันกลับมา
       “แล้วจะให้ทำไงวะ ไล่เมียฉันออกจากไร่เหมือนไล่ไอ้จอมอีกคนหรือไง”
       ใหญ่เดินหนี ปานเทพเซ็ง “นี่ถ้าพ่อไม่ห้ามฉันไว้ ฉันก็อยากไปจากไร่นี้เหมือนกันโว้ย”
       เวลาเดียวกันปิ่นอนงค์ชะเง้อมองหาใหญ่อยู่ริมระเบียง
       “ทำไมวันนี้คุณใหญ่กลับมาช้าจัง”
       เสียงแมวร้องเมี้ยวๆ
       ปิ่นอนงค์รีบหันไปทางโต๊ะ เห็นแมวกำลังดมๆ แล้วกินราดหน้าของใหญ่ ปิ่นอนงค์ตกใจวิ่งไปไล่
       “อย่านะนังเหมียว ลงมาเดี๋ยวนี้”
       แมวกระโดดหนีลงพื้น ปิ่นอนงค์รีบดูราดหน้า “ตายจริง แล้วคุณใหญ่จะกินได้ไงเนี่ย” ก้มมองที่พื้น “น่าตีนักนะเรา เรื่องไรมาขโมยกินของคนอื่น ข้าวคลุกปลาทูของตัวเองก็มี”
       พอเห็นว่าแมวนอนนิ่งตัวแข็งทื่อ ปิ่นอนงค์ตกใจ แต่ยังไม่คิดว่าตาย เดินเข้าไปดู จิ้มๆ ตัว
       “นังเหมียว ทำไมถึงตายได้” ปิ่นอนงค์ยิ่งตกใจมาก ตวัดสายตาไปที่จานราดหน้าเนื้อของใหญ่อย่างรวดเร็ว คิดๆ ประมวลเหตุการณ์ ย้อนกลับไปเป็นฉากๆ
       ตอนแม่โรยพริกไทยแล้วมือไม้สั่นจนผิดสังเกต
       ตวาดเสียงดังลั่น “เอาไปไม่ได้!... เออ คือฉันทำไว้แค่จานเดียวเพราะปิ่นมันไม่กินเนื้อ แม่ทำราดหน้าทะเลไว้ให้แกแล้ว”
       “ไม่จริง แม่ไม่ทำอย่างนั้นแน่”
       
       อุ่นเรือนอยู่ที่บ้านพักครองสุข นั่งถือขวดยาพิษมือสั่น จ้องขวดยาไม่วางตา พึมพำกับตัวเอง
       “เราทำเพื่อลูก ทำเพื่อคุณนาย ไอ้ใหญ่มันไม่ใช่คนดี เราไม่ได้ทำผิด เราทำถูกแล้ว ถูกแล้วนังอุ่น”
       มือครองสุขยื่นมาแตะบ่า อุ่นเรือนสะดุ้งสุดตัวจนทำขวดยาตกแตก
       “ตายแล้วนังอุ่น แกมีสติหน่อยสิ ขืนควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างนี้ฉันจะพลอยซวยไปด้วย แล้วนี่แกให้ไอ้ใหญ่มันกินเข้าไปแล้วใช่มั้ย”
       อุ่นเรือนร้องไห้ออกมา จิตตก สติแตก
       “อุ่นไม่กล้าดู เลยไม่รู้ว่ากินหรือยัง คุณนายคะคุณใหญ่จะแค่พูดไม่ได้ แล้วหยุดหายใจไปเฉยๆใช่มั้ยคะจะไม่เจ็บปวดทุรนทุรายใช่มั้ยคุณนาย”
       ครองสุขเขย่าอุ่นเรือนให้หยุด “เงียบนังอุ่น แกอยากให้มีคนมาได้ยินหรือไง”
       อุ่นเรือนค่อยๆ สงบลง ครองสุขเสแสร้ง “ฉันเข้าใจความรู้สึกแก ฉันไม่สบายใจเลยที่เห็นแกเป็นแบบนี้
       เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน แกพอแค่นี้ ฉันจะลงมือหยอดยาเอง ถ้าโดนจับได้ แกจะได้ไม่เดือดร้อน ให้ฉันตายคนเดียวก็แล้วกัน”
       “ไม่ได้นะคะคุณนาย อุ่นทำเอง อุ่นทำได้”
       เสียงกระถางต้นไม้แตก ดังเพล้ง!
       อุ่นเรือนกับครองสุขสะดุ้ง ครองสุขตะโกนถามเสียงขุ่น “ใคร!”
       สองคนมองไปที่กระถางใบเล็กแตกหล่นมาจากชั้นวางริมหน้าต่าง
       หมากำลังดมๆ บริเวณกระถาง ครองสุขกับอุ่นเรือนโล่งใจ
       “แกนี่เล่นเอาฉันหัวใจจะวาย ไปให้พ้นไอ้หมาหน้าโง่ ไป๊ เดี๋ยวแม่ก็จับไปแลกกะละมังซะเลยนี่”
       หมาวิ่งหนี ครองสุขรีบเข้าไป อุ่นเรือนตาม ปิดประตู
       สองคนไม่รู้ว่าจากบริเวณที่กระถางตกแตก เลี้ยวไปมุมบ้านพักเล็กน้อย
       
       ปิ่นอนงค์นั่งซุกตัวหลบอยู่ ปิดปากตัวเองแน่น น้ำตาทะลักออกมาด้วยความกลัวและเสียใจ
       
       ใหญ่หิวจัด เดินดุ่มตรงดิ่งมาที่โต๊ะอาหารริมระเบียง เห็นราดหน้าวางอยู่สองจาน ส่องสายตามองหาเมียรัก
       
       “ปิ่นอนงค์ น้อย นี่อาหารที่เตรียมไว้ให้ฉันใช่มั้ย”
       ใหญ่หิวรีบลงนั่งที่ราดหน้าใส่ยาพิษ “ไปไหนกันหมด คนยิ่งหิวๆ อยู่”
       ใหญ่หยิบช้อนตักราดหน้า กำลังจะตักเข้าปาก ปิ่นอนงค์วิ่งเข้ามา ตะโกนลั่น ปิ่น
       “คุณใหญ่ อย่ากิน”
       ใหญ่หันมา ยังงอนเรื่องเพชรอยู่ “จะให้ฉันรอเธอเหรอ เสียใจ ต่อไปนี้ใครหิวก็กินไปก่อน”
       ใหญ่จะตักเข้าปากอีก ปิ่นอนงค์รีบปัดช้อนตกจากมือ “บอกว่าอย่ากินไงคะ”
       ใหญ่ตกใจเห็นอาการปิ่นอนงค์ “ทำไม มีอะไรเหรอ”
       ใหญ่มองช้อนที่ตก ปิ่นอนงค์รีบแก้ตัว “เออ คือๆ” ปิ่นคิดหาข้อแก้ตัว “มันมีแมลงสาบตกลงไป”
       ใหญ่ฉงนมองจานราดหน้า “ไหนแมลงสาบ ไม่เห็นจะมีสักตัว”
       “ปิ่นเพิ่งเอาไปทิ้งเมื่อกี้” รีบยกจานมา “คุณใหญ่รอไหวมั้ยคะปิ่นจะไปทำมาให้ใหม่”
       ใหญ่ลุกพรวด งอนใส่ “รอไหว แต่ไม่อยากรอ ฉันลวกบะหมี่กินเองเป็น ขี้เกียจติดหนี้บุญคุณใคร แล้วต้องคอยตามชดใช้เหมือนเธอกับแม่”
       ใหญ่ประชดแล้วไป ปิ่นอนงค์มองจานในมือโล่งอกที่ใหญ่ยังไม่กิน
       
       คืนนั้นใหญ่หนุนหมอนนอนห่มผ้าที่โซฟา พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ ลุกขึ้นนั่งมองไปที่รูปพ่อกับครองสุขบนผนังห้อง ใหญ่เดินไปหามองพ่อ
       “ตลกดีมั้ยพ่อ ผมเคยมั่นใจว่าจะไม่ยอมให้ผู้หญิงหน้าไหนมาหลอกลวงผมได้ ผมต้องไม่เหมือนพ่อ แต่ตอนนี้ ผมถูกคนที่รักหักหลัง พ่อคงกำลังสมน้ำหน้าผมอยู่
       ใหญ่พยายามฝืนยิ้ม “แต่ผมจะไม่ยอมมีจุดจบอย่างเดียวกับพ่อแน่”
       ปิ่นอนงค์ที่นอนอยู่บนเตียง แต่นอนลืมตาโพลง นึกถึงคำพูดใหญ่ที่บอกว่าครองสุขเป็นชู้กับผา เป็นชู้กับธีระ
       
       ใหญ่นอนหลับบนโซฟา ประตูค่อยๆ เปิดแง้มออกช้าๆ เห็นเท้าใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาเดินตรงไปที่โซฟา ก่อนจะเห็นว่าเป็นธีระยืนค้ำหัวใหญ่ ชูมีดขึ้นมา แสยะยิ้มน่ากลัว
       ธีระพูดเบาๆ อย่างแค้นจัด “แกเล่นฉันไว้เจ็บหลายครั้ง แต่ฉันขอเอาคืนแค่แผลเดียว ไปหลับต่อให้สบายในนรกนะไอ้ใหญ่”
       ใหญ่ลืมตาโพลง ปัดมือธีระ มีดหลุดกระเด็น ใหญ่ดีดตัวขึ้นมากระชากคอธีระชกใส่หน้า ธีระล้มกลิ้ง ใหญ่ตามเข้าไปกะอัดซ้ำ
       ธีระควานเจอมีดแทงเข้าใส่อกใหญ่ในจังหวะที่ใหญ่ก้มตัวลงมา ใหญ่ตาเหลือกจับมือธีระที่ปักมีดแน่น ธีระกระชากมือออก ถอยออกมาหน้าตาตื่น วิ่งไปที่ประตูชนปิ่นอนงค์จนเซ แล้วหนีไป
       ปิ่นอนงค์เห็นใหญ่ดิ้นทุรนทุรายเหมือนคนจะขาดใจตาย รีบวิ่งเข้ามา เข้าไปกอดใหญ่
       “คุณใหญ่ คุณใหญ่อย่าเป็นอะไรนะคะ คุณใหญ่”
       
       บนเตียงนอน ปิ่นอนงค์กอดคอใหญ่แน่นไม่ยอมปล่อย หลับหูหลับตาร้องลั่น
       “คุณใหญ่ต้องไม่ตาย ช่วยด้วย ช่วยคุณใหญ่ด้วย”
       ใหญ่พยายามแกะมือออก “ปิ่นอนงค์ ลืมตาสิ เธอฝันร้าย ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
       ปิ่นอนงค์หอบ หยุดคิด เห็นตัวเองกอดคอใหญ่แน่น จึงรีบผละออก มองหน้าใหญ่
       “ปิ่นฝันไปจริงเหรอคะ คุณใหญ่ไม่ได้โดนแทงที่ห้องโน้น ห้องทำงานคุณใหญ่ ปิ่นเห็นคุณใหญ่กำลังจะตาย”
       “ฉันจะตายเพราะโดนยุงกัดมากกว่า ว่าจะกลับมานอนที่ห้องสักหน่อย แต่ดันเจอคนใจร้ายแช่งชักหักกระดูกให้ฉันตายได้ ฉันกลับไปนอนตากยุงก็ได้”
       ปิ่นอนงค์รีบดึงใหญ่ไว้ “อย่าค่ะ อย่าไปเลยนะคะ เรานอนด้วยกันดีกว่า”
       ใหญ่ไม่เชื่อหู “นอนด้วยกัน จริงหรือ”
       ปิ่นอนงค์อึกอัก “เออ หมายถึงนอนห้องเดียวกันก็ได้ค่ะ”
       “ไม่กลัวฉันปล้ำเอาเหรอ หรือกะว่าจะรอให้ฉันหลับ แล้วจะเอาไอ้นี่” หยิบหมอน “ปิดจมูกฉัน เพื่อหวังฮุบสมบัติ”
       ปิ่นอนงค์พูดบอกเสียงหนักแน่นจริงใจ “ปิ่นไม่มีวันทำอย่างนั้น และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณใหญ่ คุณใหญ่ต้องปลอดภัย”
       ใหญ่มองสายตาปิ่นอนงค์ที่ดูจริงใจมาก “เธอกลัวฉันตายเหรอปิ่นอนงค์”
       ปิ่นอนงค์อายไม่กล้าตอบรีบเฉไฉลุกจากเตียง “ปิ่นขอเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
       ปิ่นอนงค์รีบลุกไป ใหญ่ไม่เข้าใจ
       แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน
       ปิ่นอนงค์นอนหลับตะแคงหันหลังให้ ใหญ่ขยับตัวเข้าไปหา ชะโงกมองหน้า
       “ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับฉัน แต่ฉันรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ นี่ฉันคงต้องเสียเปรียบเธอตลอดไปมั้ง ปิ่นอนงค์”
       ใหญ่สอดแขนที่ใต้คอ ขยับให้หัวปิ่นอนงค์เอียงมาซบทับไหล่ตน
       ใหญ่หลับตาลง นอนยิ้มอย่างมีความสุข
       
       ที่บ้านอรสอางค์ เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังมาก ดังเข้ามาในห้องรับแขก อรสอางค์อยู่ในชุดนอนมีเสื้อคลุมเรียบร้อย วิ่งลงมาจากข้างบน
       “พี่จิ๋ว คนบ้านไหนมันส่งเสียงดังแต่เช้า ไร้มารยาท ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจกันบ้าง พวกดีแต่เปลือก มีแต่เงินแต่ไร้สมบัติผู้ดี”
       อรสอางค์เดินออกมาหน้าตึก เห็นรถลาก กำลังลากรถยนต์อรสอางค์ออกไป
       “อ๊าย พวกแกทำอะไรเนี่ย จะเอารถฉันไปไหน”
       อรสอางค์วิ่งตามรถไป “นี่มันรถฉันนะ ไอ้บ้า หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้หยุดไง”
       รถยังลากต่อ จิ๋วกับคุณหญิงปรางทิพย์วิ่งออกมา “พี่จิ๋ว โทร.แจ้งตำรวจเร็ว มีคนขโมยรถอร”
       จิ๋วจะไป ปรางทิพย์เรียกไว้ “ไม่ต้องจิ๋ว”
       “อ้าวทำไมละคะ ไอ้พวกแก๊งสิบแปดมงกุฎกล้ามาฉกรถถึงบ้านท่านปลัดอย่างนี้ ต้องลากมันเข้าคุก” จิ๋วโวย
       “ไม่ใช่แก๊งเกิ๊งอะไรหรอก” หันมาทางอรสอางค์ “แม่ไม่ได้ผ่อนไฟแนนซ์มาหลายงวด มันก็เลยมายึดเอาไป”
       “ยึดรถ นี่เรา จนตรอกขนาดนี้เลยเหรอคะ”
       “เพิ่งรู้เหรอ ไม่ใช่แค่รถลูกเท่านั้น แม้แต่รถคุณพ่อแม่ก็ต้องรีบบอกขายไป ก่อนที่เราจะโดนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์”
       อรสอางค์วีนแตก “แล้วอย่างนี้อรจะไปไหนมาไหนยังไง”
       ปรางทิพย์จับมือลูกสาวปลอบโยน “นั่งแท็กซี่ไปก่อนนะลูก ทนไปอีกไม่กี่วัน เราก็จะพ้นไปได้”
       “แต่อรกลัวนะรู้ เกิดธนาคารมายึดบ้านเราตอนนี้ล่ะ เราคงปิดนะอีกต่อไปไม่ได้แน่”
       อรสอางค์หันไปมองรถที่ถูกลากพ้นประตูบ้านไปอย่างเสียดาย รู้สึกถูกกดดัน น้ำตาไหลออกมา
       ปรางทิพย์กอดลูกสาวพูดปลอบ “ของนอกกาย หาเอาใหม่ได้นะลูก แม่จะซื้อให้คันใหญ่กว่านี้ แพงกว่านี้ แม่จะเอาทุกอย่างคืนกลับมาให้ลูก”
       
       อรสอางค์ดันตัวแม่ออก จ้องหน้าถาม “ด้วยวิธีไหนละคะ” 

------------------------------------------------------------------

 อรสอางค์ดึงรั้งทรรศนะตรงมาทางประตูห้องรับแขก
       
       “เดินเร็วหน่อยสิคะนะ เค้ากำลังรอเรากันอยู่”
       ทรรศนะตามมาแบบงงๆ “ญาติฝ่ายไหนเหรอจ๊ะอร”
       “ไม่ใช่ญาติค่ะ แต่เป็นนายทะเบียนที่คุณพ่อเชิญมา”
       ทรรศนะมองเข้าไปในห้อง เห็นคุณหญิงปรางทิพย์กับปลัดอุทัยนั่งคู่กันที่โซฟา โดยมีนายทะเบียนยืนรออยู่ที่โต๊ะวางสมุดทะเบียนรออยู่แล้ว
       ทรรศนะงุนงงหันมาถามอรสอางค์ “นายทะเบียนอะไร”
       ปรางทิพย์ปรี่มาหาทรรศนะพูดเบาๆ “ได้ฤกษ์จดทะเบียนสมรสแล้วจ้ะ มาเร็วๆ ทั้งคู่เลย”
       ทรรศนะงงเป็นไก่ตาแตก “แต่วันนี้ไม่ใช่วันหมั้นนี่ครับ”
       “นี่เป็นฤกษ์จดทะเบียน พระท่านแนะนำให้จดก่อนทำพิธีแต่ง ดวงของลูกทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันยืนยาว มาสิจ๊ะ”
       ปรางทิพย์ดึงแขนทรรศนะไปนั่งที่โต๊ะจดทะเบียน ทรรศนะยังดูงุนงง นายทะเบียนส่งปากกาให้เซ็น
       ทรรศนะรับมามองหน้าคนรัก อรสอางค์พยักหน้า
       “เซ็นเลยลูกนะ เดี๋ยวจะเสียฤกษ์หมด”
       ปรางทิพย์ยืนข้างๆ ทรรศนะเร่งยิกๆ ทรรศนะยอมเซ็น อรสอางค์เซ็นตามทันที
       คุณหญิงโล่งใจ ปลัดเข้ามาดึงแขนคุณหญิงออกไปคุยกันห่างๆ
       ปลัดพูดเบาๆ “ไปหลอกเค้าอย่างนี้คิดว่ามันดีแล้วเหรอ เกิดแฟนยัยอรมันรู้ว่าเราเหลือแต่เปลือก มีหวังโดนถอนหงอกด้วยกันทั้งคู่ ชื่อเสียงที่ฉันสร้างมาคงป่นปี้ก็คราวนี้”
       “คุณยังคิดว่าตัวเองยังมีหน้ามีตาอยู่อีกเหรอคะ ชื่อเสียงของคุณมันขายใครไม่ได้แล้ว ดิฉันถึงต้องยืมชื่อลูกเขยไปสร้างเครดิตถ้าฝ่ายเร่งรัดหนี้สินรู้ว่าคุณมีลูกเขยเป็นถึงเจ้าของไร่ไพศาลเค้าก็อาจยอมผ่อนผันหนี้ให้เรา” ปรางทิพย์ไม่สนอะไรอีกแล้ว
       ปลัดอุทัยน้ำท่วมปากถียงไม่ออก แต่ดูไม่เต็มใจยังห่วงศักดิ์ศรี
       
       ในเวลาเดียวกันปิ่นอนงค์แอบเข้ามาในครัว กดโทร.หาจินตนาพูดเบาๆ กลัวใหญ่มาได้ยิน
       “จิน เราเองนะ จอมไปหาเธอหรือเปล่า รู้มั้ยจอมหนีออกจากไร่ไปตั้งแต่เมื่อวาน”
       จินตนาอยู่ที่สำนักปศุสัตว์ที่ทำงาน ทำเป็นตกใจที่ปิ่นอนงค์ถามเรื่องจอมกับตน
       “จริงเหรอ เรายังไม่เห็นหน้าจอมเลย”
       พลางจินตนามองไปอีกทาง เห็นจอมกำลังทำงานแบกหามอยู่ในฟาร์มปศุสัตว์ จินตนารับปากจอมไว้ จึงต้องโกหกเพื่อน
       “เอางี้นะ ถ้าจอมติดต่อมา เราจะรีบโทรบอกปิ่นทันที จ้ะ บาย”
       จินตนาตัดสาย จอมเดินมาหาพอดี “ทำไมไม่อยากให้ปิ่นรู้ล่ะว่านายอยู่ที่นี่”
       “ผมอยากพิสูจน์ให้ปิ่นเห็นว่าผมสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวทัดเทียมไอ้คุณใหญ่ได้ ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ผมจะไปแย่งปิ่นคืนมา” จอมจริงจรังมากๆ ทั้งหน้าตาและน้ำเสียง
       “ถ้ารอถึงตอนนั้น ปิ่นมันคงโดนต้มจนเปื่อยยุ่ยกันพอดี” จินตนาพูดลอยๆ
       “คุณจินก็ไม่ไว้ใจพวกมันเหมือนกันเหรอครับ” จอมถาม
       “คุณใหญ่กับนายปานเหมือนมีบางอย่างปกปิดเราไว้ แต่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉันขอเวลาสืบดูก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง”
       น้ำเสียงจินตนาดูมั่นใจมาก
       
       ปิ่นอนงค์เดินเข้ามาในห้องอาหาร เห็นอุ่นเรือนจัดวางอาหารบนโต๊ะ 3 อย่าง มีซุปเนื้อตุ๋นที่ใส่ยาพิษไว้แล้ว ปลาสลิดทอด น้ำพริกผักสด
       ปิ่นอนงค์ชะงัก อุ่นเรือนหันมา “ฉันมาเตรียมอาหารไว้ให้ นี่เป็นซุปเนื้อตุ๋นนะ บอกผัวแกด้วยว่าตั้งใจทำให้ แกก็อย่าเผลอไปตักกินล่ะ มันเป็นเนื้อวัวที่แกไม่อยากกิน”
       ปิ่นอนงค์มองชามเนื้อตุ๋น นึกสะท้อนใจ “แล้วปิ่นจะบอกให้จ้ะ”
       “เมื่อวานคุณใหญ่ได้กินราดหน้าหรือเปล่า”
       “กินจ้ะ”
       “ดีแล้ว อย่าลืมให้เค้ากินซุปให้ได้นะ ฉันเสียเวลาเคี่ยวอยู่หลายชั่วโมงเชียว
       อุ่นเรือนเดินออกจากเรือนไป ปิ่นอนงค์หัวใจสลายมองแม่ด้วยความเสียใจที่แม่กล้าถึงขนาดทำร้ายคน ปิ่นอนงค์เดินไปยกชามซุป
       
       ที่แท้ปิ่นอนงค์เทซุปเนื้อตุ๋นทิ้งลงถังขยะในครัว ร้องคร่ำครวญ “ปิ่นจะทำยังไงดี แม่ถึงจะไม่โดนคุณนายหลอกใช้ ทำไมแม่ถึงต้องรักคุณนายมากมายขนาดนี้ด้วย
       น้อยเข้ามามองถังขยะ “อ้าว คุณผู้หญิงเททิ้งทำไมคะ”
       ปิ่นอนงค์สะดุ้ง “เออ มันบูดน่ะ คุณใหญ่ตื่นหรือยัง”
       “ลงมารอที่โต๊ะอาหารแล้วค่ะ” น้อยบอก
       
       น้อยถือถาดอยู่ ปิ่นอนงค์ยกชามต้มจืดออกจากถาดวางที่โต๊ะตรงหน้าใหญ่
       “ตักข้าวเลยน้อย หิวจนตาลายไปหมดแล้ว”
       “ปิ่นตักให้เองค่ะ น้อยจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
       น้อยปลีกตัวออกไป ปิ่นอนงค์ตักข้าวให้ใหญ่ “ของเธอล่ะ”
       “คุณใหญ่ทานก่อนเลยค่ะ ปิ่นจะช่วยแกะเนื้อปลาให้”
       ปิ่นแกะเนื้อปลาสลิดใส่ชามข้าวให้ใหญ่ “ฉันทำเองได้ มากินด้วยกันเถอะ”
       ปิ่นอนงค์ยิ้ม แกล้งขู่ใหญ่ “ถ้าไม่รีบทาน ปิ่นจะให้น้อยมาเก็บโต๊ะนะคะ”
       ใหญ่รีบตักข้าวเข้าปากทันที พูดชมทั้งที่อาหารเต็มปาก “อื้อ อาหย่อย ฝีมือเมียฉันนี่สุดยอด”
       ปิ่นอนงค์ไม่อยากบอกว่าแม่ทำ ยิ้มฝืนๆ
       “ถ้าอร่อย คุณใหญ่ต้องรับปากปิ่นว่า จะทานอาหารแต่เฉพาะที่ปิ่นเป็นคนทำให้เท่านั้น ถ้าใครเอาอะไรมาให้ทาน คุณใหญ่ต้องไม่ทานนะคะ”
       ใหญ่งง พูดกระเซ้า “เธอนี่พูดจาเหมือนแม่กำลังสอนลูกเล็กๆ เลยนะคุณแม่ปิ่น”
       “ก็ช่วงนี้อากาศร้อนจัด อาหารจะบูดง่าย ปิ่นเลยอยากเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินให้คุณใหญ่ด้วยตัวเอง ปิ่นตักต้มจืดให้นะคะ”
       ปิ่นอนงค์หยิบถ้วยเล็กสำหรับตักแบ่ง ใหญ่แตะมือ หยั่งเชิงเรื่องเครื่องเพชร
       “บอกมาตรงๆ ว่าเธอทำอะไรผิดหรือเปล่า ถึงมาเอาอกเอาใจฉันเป็นพิเศษ”
       ปิ่นอนงค์อึ้งไป “ถ้าปิ่นทำผิด คุณใหญ่จะให้อภัยเหรอคะ”
       “นักโทษที่ยอมสารภาพ ศาลยังลดโทษให้กึ่งหนึ่ง นับประสาอะไรกับเมียตัวเอง ฉันจะยกโทษให้ไม่ได้”
       
       เวลาต่อมาปิ่นอนงค์กำลังไขตู้เซฟในห้องทำงานให้ใหญ่ดู ใหญ่แกล้งทำเป็นเพิ่งรู้ว่าเครื่องเพชรหายไป เห็นในตู้ว่างเปล่า ใหญ่มองหน้าปิ่นอนงค์รอฟัง ปิ่นอนงค์รีบอธิบาย
       “วันก่อนที่คุณใหญ่ถามปิ่นเรื่องเครื่องเพชร ปิ่นโกหกคุณใหญ่ค่ะ ความจริงปิ่นแอบเอาไปให้คุณนายยืม”
       ใหญ่โล่งใจที่ปิ่นสารภาพ “ยืมไปทำไม”
       “คุณนายเอาไปเป็นสินสอดสู่ขอคุณอร เพื่อให้สมหน้าสมตากับฐานะของคุณอร”
       ใหญ่ยิ้มเยาะ “คุณนะของเธอถูกหลอกแล้ว อรสอางค์ถังแตก ท่านปลัดใกล้ถูกฟ้องล้มละลาย อย่าหวังว่าทรรศนะจะพึ่งพาเค้าได้”
       ปิ่นอนงค์ตกใจ “ถ้าอย่างนั้นคุณนายก็คงไม่ได้เครื่องเพชรมาคืนคุณใหญ่”
       “เงินแค่นั้นช่างมัน ถ้าทำให้เธอตาสว่าง ฉันว่ามันคุ้ม ถือเป็นบทเรียนที่ต้องจำไว้ ว่าอย่าไว้ใจใครอีก”
       “ไม่ได้หรอกค่ะ ปิ่นต้องรับผิดชอบหาเงินมาคืนคุณใหญ่”
       ใหญ่ยิ้มสวมกอดปิ่นอนงค์แน่นอย่างรักใคร่ “ไม่จำเป็น เงินฉันก็เหมือนเงินเธอ แต่ขออย่างเดียว มีอะไรขอให้บอกกันตรงๆ อย่าปิดบังกันอีก”
       ปิ่นหน้าสลดลงทันทีเพราะไม่กล้าบอกใหญ่เรื่องอุ่นเรือนใส่ยาพิษ ได้แต่รับปากเสียงแผ่วเบา
       “ค่ะ”
       ใหญ่ยิ้มกว้างมีความสุขที่ปิ่นอนงค์ยอมสารภาพ “ขอบใจนะ ที่เธอพูดความจริงกับฉัน”
       
       จิ๋วยืนรอที่แท็กซี่แล้ว อรสอางค์เดินนำทรรศนะเข้ามา ทรรศนะสีหน้างุนงง
       “เราจะไปแท็กซี่เหรอจ๊ะ”
       สองสาวบ่าวนายมองหน้ากัน อรสอางค์กอดแขนทรรศนะปะเหลาะ “คือว่ารถที่บ้านเสียทั้งสองคันเลยค่ะ นะไปแท็กซี่ได้ใช่มั้ยคะ”
       “ผมยังไงก็ได้ ที่พูดเพราะห่วงอรมากกว่า”
       “คุณหนูอย่าลืมฉีดสเปร์ยฆ่าเชื้อโรคที่มือด้วยนะคะ ไม่รู้มือใครต่อใครมาจับประตูรถนัก สกปรก น่าขยะแขยง”
       ฟังแล้วอรสอางค์มองแท็กซี่อย่างรังเกียจ จิ๋วเอาผ้าเช็ดๆ ที่จับประตูก่อนเปิดให้อรสอางค์กับทรรศนะ
       อรสอางค์เหลียวไปที่ประตูบ้านแล้วต้องชะงักเห็นรถเจ้าหน้าที่จากกรมบังคับคดีวิ่งเข้ามาจอดเทียบ
       แล้วมีเจ้าหน้าที่เดินไปปิดหมายสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินตรงหน้าประตู อรสอางค์ใจหายวาบ รีบเดินไปดู อาละวาดนำไปก่อน
       “นี่มาติดอะไรกันคะ ขออนุญาตเจ้าของบ้านหรือยัง”
       อรสอางค์เห็นว่าเป็นหมายสั่งพิทักษ์ทรัพย์สิน ถึงกับช็อก
       จิ๋วเข้ามาสมทบ “นั่นสิ คนสมัยนี้มารยาททรามขึ้นทุกวัน หนังสือสมบัติผู้ดีก็ราคาไม่กี่บาท น่าจะรู้จักซื้อหามาอ่านกันบ้าง”
       อรสอางค์หันไปมองทรรศนะที่ยังยืนอยู่ข้างรถแท็กซี่ พยายามจะฉีกหมายทิ้ง
       “เอาออกไปจากบ้านฉัน ห้ามมาติดอะไรทั้งนั้น”
       เจ้าหน้าที่จับมืออรยั้งไว้ พูดเตือน “ผมขอเตือนว่านี่เป็นคำสั่งยึดทรัพย์จากศาล ใครฉีกทิ้งถือว่ามีความผิดตามกฎหมายนะครับ”
       ทรรศนะได้ยินเต็มสองหูรีบแหวกจิ๋วกับอรเข้ามาดูหมายศาล ทรรศนะตกใจ มองจ้องหน้าอรสอางค์ขอคำตอบ
       อรสอางค์ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ไม่ใช่นะคะนะ เค้ามาติดผิดบ้าน” พยายามยิ้มกับเจ้าหน้าที่ เออ ลองไปตรวจสอบอีกทีดีมั้ยคะ คุณอาจจำบ้านเลขที่ผิด”
       เจ้าหน้าที่ตอกกลับหน้าหงาย “ถ้าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณอุทัย ธรรมกูล ก็ไม่ผิดแน่นอนครับ ผมขอตัว”
       
       พอเจ้าหน้าที่ออกไป ทรรศนะมองอรสอางค์อย่างผิดหวังสุดขีด อรสอางค์ผู้เริดเชิดปั้นหน้าไม่ถูก 

-------------------------------------------------------------

คุณหญิงปรางทิพย์กำลังโทรศัพท์คุยผัดผ่อนหนี้อยู่ในห้องโถง โดยเอาชื่อทรรศนะในฐานะทายาทไร่ไพศาลไปต่อรองพวกเจ้าหนี้
       
       “ดิฉันจะจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ทั้งหมดภายในอาทิตย์นี้แน่นอนค่ะลูกเขยดิฉันกำลังยุ่งๆ เรื่องงานแต่ง พอเสร็จงานปั๊บเค้าก็จะเคลียร์หนี้ทั้งหมดให้ทันที รับรองว่าไม่ผิดจากนี้ เพราะเค้าเป็นถึงทายาทไร่ไพศาล เงินแค่ล้านสองล้าน ขี้ปะติ๋วสำหรับเค้าค่ะ จะยืดเวลาให้ถึงสิ้นอาทิตย์นี้เหรอคะ ขอบพระคุณค่ะ”
       ปรางทิพย์ตัดสาย ยิ้มโล่งใจ หันกลับมา จ๊ะเอ๋กับทรรศนะยืนอยู่ข้างหลัง ปรางทิพย์ตกใจสุดขีด
       “ลูกนะ”
       อรสอางค์วิ่งเข้ามา ยืนชะงัก “ผมอยากรู้ความจริงทั้งหมดจากปากคุณหญิงแม่ครับ”
       ปรางทิพย์พูดไม่ออก อายแทบแทรกแผ่นดิน เซจะเป็นลม อรสอางค์รีบประคองแม่ไว้
       “คุณแม่” รีบบอกทรรศนะเหมือนไม่มีอะไร “มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอย่างที่นะคิดหรอกเราก็แค่หมุนเงินไม่ทัน มันก็มีช็อตบ้างอะไรบ้างเป็นเรื่องธรรมดา นะอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่โตนักเลย”
       “มีหมายยึดทรัพย์มาแปะอยู่หน้าบ้าน อรยังเรียกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอีกเหรอ”
       อรสอางค์อารมณ์ขึ้นพูดอย่างเห็นแก่ตัว
       “ก็นะมีเงินตั้งเยอะแยะ จะกลัวอะไร พอเราแต่งงานกันเรียบร้อย นะก็ต้องช่วยอรอยู่ดี หรือนะจะไม่ช่วย”
       ทรรศนะถึงบางอ้อ “ที่แท้อรก็แต่งงานกับผมเพราะต้องการให้ผมมาช่วยล้างหนี้งั้นสิ ผมก็หลงคิดว่าคุณรักผมเสียอีก”
       “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
       ปรางทิพย์ท้วง “เธอก็พูดเกินไป คนในตระกูลฉันมีเทือกเถาเหล่ากอเป็นถึงเจ้าคุณมูลนาย ไม่เคยคิดขายลูกกินอย่างที่เธอปรามาส”
       “แล้วที่คุณหญิงแม่เร่งรัดให้ผมรีบจดทะเบียนสมรส แถมยังเอาชื่อผมไปแอบอ้างว่าจะเป็นคนเคลียร์หนี้สินทั้งหมดให้มันคืออะไรละครับ” ทรรศนะตอกหน้าสองแม่ลูก
       “ไหนนะบอกรักอรมากไง คนรักกันก็ต้องช่วยกันสิ คุณแม่แค่ขอยืมชื่อไปสร้างเครดิตนิดหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลย”
       ทรรศนะมองหน้าอรสอางค์อย่างผิดหวัง ทนฟังคำพูดอรสอางค์ไม่ได้อีกต่อไป เดินหนีออกจากห้อง
       “นะ นะจะเอายังไง กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
       อรร้อนใจวิ่งตาม คุณหญิงปรางทิพย์กระแทกตัวลงนั่ง กลุ้มหนัก
       
       อาณาเขตของไร่ไพศาลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เช้าวันนี้ทุกชีวิตในไร่เริ่มต้นกับงานในความรับผิดชอบของตน
       เช่นเดียวกับวันอื่นๆ
       
       จินตนาตัดสินใจที่จะสืบหาความจริงของใหญ่กะปานเทพ จึงลงทุนปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น มาเที่ยวไร่ไพศาล โดยแปลงโฉมแต่งชุดกระโปรงน่ารัก สไตล์นักท่องเที่ยววัยรุ่นญี่ปุ่น ใส่แว่นดำอันใหญ่ สวมหมวกปีกกว้างปกปิดใบหน้าเอาไว้เกือบครึ่งหน้า และสะพายเป้แบบผู้หญิงที่ด้านหลัง
       ประไพเดินคู่มากับปานเทพ รายงานเรื่องสาวนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น
       “เธอเป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นค่ะ บอกว่าอยากขอดูห้องพักของเราก่อนจะเช็กอิน แต่ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง สื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ จับความได้ว่าเธออยากพบผู้จัดการ คงจะไม่พอใจดิฉันเท่าไหร่”
       
       ปานเทพมองสำรวจจินตนาที่ปลอมตัวมาและยืนหันหลังให้สองคนอยู่
       “ผมจัดการเอง คุณประไพไปทำงานต่อเถอะครับ”
       ประไพแยกตัวไป ปานเทพเดินเข้าไปหาจินตนาทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น “คอนนิจิวะ - สวัสดีครับ”
       จินตนา ค่อยๆ หันหน้าที่ใส่แว่นตาดำใหญ่เบิ้มแถมใส่หมวกปีกกว้างปิดเกือบครึ่งหน้า ไปหาปานเทพ
       จินตนาดันทักกลับเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีค่ะ”
       ปานเทพงงงวยถามด้วยภาษาญี่ปุ่น “คุณผู้หญิงสะดวกจะพูดภาษาอะไรครับ
       จินตนาเงอะงะเพราะพูดญี่ปุ่นไม่เป็น ตอบกลับเป็นภาอังกฤษซะงั้น “คุณพูดได้กี่ภาษาละคะ”
       ปานเทพตอบเป็นอังกฤษอีก “อังกฤษ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส จีน และไทยครับ”
       จินตนาตกใจเบือนหน้าไปทางอื่นคิดในใจ “นี่มันโจรอินเตอร์เหรอไงวะ พูดได้ตั้ง 5 ภาษา”
       แล้วจินตนารีบหันมายิ้มหวานให้ พร้อมกับพูดไทยสำเนียงญี่ปุ่นขำๆ มั่วๆ ไป
       “ฉัน-พูด-ไทย-ได้-นิด-หน่อย-นะก๊ะ”
       ปานเทพยิ้ม “อ้าว ก็ดีซิครับ ถ้างั้นผมจะพูดช้าๆ เชิญชมข้างในดีกว่าครับ”
       ปานเทพผายมือเชื้อเชิญแล้วเดินนำไป จินตนาเปิดปีกหมวกขึ้นเผยให้เห็นว่าคือจินตนา
       
       ปานเทพเปิดหน้าต่างห้องพักออก พลางชี้ให้นักท่องเที่ยวชม
       “ห้องนี้จะเห็นวิวเขาทางหน้าต่างด้วยนะครับ” แล้วเดินไปเปิดห้องน้ำอธิบายต่อ “ส่วนห้องน้ำ จะเป็นแบบโอเพ่นเปิดสู่ธรรมชาติ”
       จินตนามองแค่ผ่านๆ เพราะเมนพ้อยต์คือคิดจะมาล้วงความลับจากปานเทพ จินตนาแอ๊บพูดสำเนียงญี่ปุ่น “อาโน ฉันชอบนะก๊ะ เอ๊ะ คุณเรียนจบมาจากที่ไหนเหรอคะ ถึงมาทำงานทางด้านนี้ได้”
       ปานเทพยังไม่นึกสงสัย “ผมจบมหา’ลัยในเมืองไทยนี่แหละครับ”
       จินตนาตาโต รีบโพล่งถามต่อ แต่ดันลืมตัวพูดไทย “จบด้าน” แล้วรู้ตัวรีบทำสำเนียงญี่ปุ่น “เออ จบ-
       สาขา-ไหน-ก๊ะ”
       ปานเทพกำลังจะบอก แต่เห็นหนูวิ่งออกมาจากซอกตู้ด้านหลังจินตนา ปานเทพตกใจกลัวร้องลั่นชี้ด้านหลังจินตนา
       “เฮอออ ขะ ขะ ข้าง ข้างหลังคุณ”
       จินตนาทำเสียงงงแบบญี่ปุ่น “เอ๊ะ”
       “หนูอยู่ข้างหลังคุณ มันวิ่งมาแล้ว”
       ปานเทพเอาตัวรอดวิ่งขึ้นเตียง จินตนาหันไปลืมตัวดึงแว่นออก เห็นหนูที่ขาตัวเองร้องกรี๊ดเต้นเร่าๆ จนหมวกหลุด
       “ไปให้พ้น ฉันเกลียดหนู อ๊ายยย ช่วยด้วย”
       จินตนาวิ่งขึ้นเตียงไปยืนกอดกับปานเทพด้วยความกลัว ปานเทพมองหน้าจินตนาชัดๆ จำได้ทันที จินตนารู้สึกตัว เห็นหมวกหลุดที่พื้นตกใจหันขวับมาหาปานเทพ
       “เธอ จินตนา นี่คุณเล่นตลกอะไร”
       จินตนาอึกอัก “ฉันๆๆๆ”
       “คุณปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวเพื่ออะไร” ปานเทพยัวะ
       จินตนารีบกระโดดลงจากเตียงมาตั้งหลัก “นายเรียนจบมหาลัย แถมพูดได้ตั้งห้าภาษา นายเป็นใครกันแน่”
       ปานเทพตามลงมาวางมาดเสือปานป่าหวายใส่ “ผมก็เป็นไอ้เสือปานน่ะสิ แหม เวลาอยู่ต่อหน้าลูกค้าสาวๆ มันก็ต้องมีคุยโม้สร้างภาพให้ตัวเองดูดีหน่อยสิคุณ”
       “โกหก”
       ปานเทพเดินเข้าหาแบบคุกคามจินตนาถอยหลังกรูด “คุณต่างหากที่โกหก คุณอยากรู้เรื่องการศึกษาของผมมันเป็นข้ออ้าง ความจริงคุณอยากใกล้ชิดผม อยากอยู่กับผมแบบสองต่อสอง แล้วก็ให้ผมกอดคุณอย่างนี้ใช่มั้ยล่ะ”
       ปานเทพดึงจินเข้ามากอด จินตนาตัวแข็งทื่อ “ก็แค่บอกกันดีๆ ผมก็ยินดีให้บริการคุณอย่างเต็มใจ”
       ปานเทพบิดเอวจินตนาให้หงายไปด้านหลัง คล้ายลีลาการเต้นรำ จินตนาหายใจแรงมองหน้าปานเทพที่ก้มมาหาช้าๆ จินตนาเคลิ้มแล้วได้สติร้องกรี๊ดผลักปานเทพออก
       “อ๊าย...ไอ้หน้าหื่น นี่แน่ะ”
       จินตนาโมโหยกเข่ากระแทกเข้าที่เป้ากางเกงจังๆ ปานเทพร้อง “โอ๊ย!”
       ปานเทพลงไปนอนชักดิ้นๆ กระแด่วๆ จินตนาตกใจ ปานเทพพยายามคลานไปหาจินตนาทั้งเจ็บทั้งแค้น ยื่นมือไปคล้ายจะบีบคอ
       “ฉันจะฆ่าเธอ หักคอเธอ ควักตับไตไส้พุงของเธอ เชือดเนื้อเธอออกมาเป็นชิ้นๆ แล้วก็สับๆๆ ให้หายแค้น”
       จินตนาตกใจกลัวรีบวิ่งลนลานหนีออกจากห้องอย่างไว
       
       เวลาเดียวกันใหญ่จูงม้าออกมาจากคอก ปานเทพเดินหนีบๆ เพราะยังเจ็บอยู่ ตรงมาหาใหญ่
       ใหญ่มองสีหน้าสงสัย
       “ทำไมแกเดินประหลาดอย่างนั้นวะไอ้ปาน”
       “ไม่มีอะไรอ่ะ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”
       “ว่าธุระของแกมา ฉันรีบ”
       ปานเทพกวาดตาดูว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ หรือเปล่า พูดเสียงเบาๆ “เรากำลังลำบากแล้วนะโว้ย ยัยจินตนาเพื่อนซี้ของเมียแกท่าทางจะเริ่มสงสัยฉันแล้ววะ ถึงขนาดปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวมาล้วงประวัติของฉัน โชคดีที่ฉันไหวตัวทัน”
       ใหญ่ไม่ตื่นเต้น “แค่ผู้หญิงอย่างจินตนาจะมีอะไร แกก็จัดการไปเองสิวะ” จูงม้าไป
       ปานเทพรีบตามไปโวยวาย “เฮ้ย เอะอะก็โยนให้ฉันทำลูกเดียว พักนี้ดูแกไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย นอกจากขลุกอยู่กับปิ่นอนงค์”
       ใหญ่เดินไปพูดไป “ฉันขลุกอยู่กับเมียน่ะถูกแล้วหรือจะให้ฉันขลุกอยู่กับแกแทน”
       ใหญ่หยุดเดินหันมากระแซะปานเทพ มียักคิ้วลิ่วตา ปานเทพขนลุก
       “ถอยออกไปห่างๆเลยปะ กูจะอ้วก”
       ใหญ่ยิ้มขำ ปานเทพมองจ้องหน้าใหญ่ จับอาการแล้วชี้หน้าถามคาดคั้น
       “นี่แกกำลังมีความรักใช่มั้ยไอ้คุณใหญ่ สารภาพมาตรงๆ”
       ใหญ่ปัดนิ้วปานเทพ “มั่วแล้ว ไม่มี”
       “อย่าๆ สายตาแกมันฟ้อง เวลาแกมองฉัน ตาแกยังมีประกายวิ๊งๆ มิน่า...งานการไม่เคยสนใจ เอาแต่นอนกอดเมียทั้งวัน”
       ปานเทพเยอะ ใหญ่ทำท่ายกเท้าขึ้น “ไอ้บ้า เดี๋ยวก็โดนยันโครมไปโน่น”
       ปานเทพรีบยกมือป้องถอยหนี “อย่านะโว้ย ฉันจะฟ้องพ่อจริงๆ ด้วย โอ๊ย!”
       ถอยไม่ยอมมองปานเทพไปชนปิ่นอนงค์ที่เดินเข้ามาพอดี “อุ๊ย!”
       ปานตกใจ “ขอโทษครับพี่สะใภ้” หันมามองใหญ่แซวทันที “อั่นแน่ ที่แท้ก็นัดกันไว้นี่เอง”
       ใหญ่รีบเข้าไปจูงมือปิ่นอนงค์พูดจ๊ะจ๋า “ไปจ้ะ อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาแถวนี้เลย”
       ปิ่นอนงค์เงอะงะ ใหญ่พาเดินไปพร้อมกับม้า ปานเทพน้อยใจ “พอมีเมียมันก็เห็นเราเป็นส่วนเกิน ไอ้เพื่อนทรยศ”
       เสียงมือถือดังขึ้น ปานเทพเห็นชื่อพ่อรีบกดรับ
       “ผมกำลังจะโทรไปหาพ่ออยู่พอดี…อ้าวพี่พงษ์เหรอ”
       
       ที่บ้านปลอดเวลาเดียวกัน พงษ์เป็นคนกดมือถือแบบ 3G เห็นหน้าปานเทพปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอ พงษ์ส่งให้ปลอด
       ปลอดรับมา เงอะงะทำไม่เป็นจึงหันไปถาม “แล้วพูดยังไงเนี่ย”
       พงษ์บอก “พูดได้เลยครับนายหัว คนขายบอกว่าระบบนี้เล่นง่ายที่สุดขนาดเด็ก 6 ขวบก็ยังใช้เป็น”
       “ถ้าฉันใช้ไม่เป็น ก็โง่กว่าเด็ก 6 ขวบสิวะ”
       “ถูกครับ” ปลอดลืมตัว
       ปลอดชี้ที่รองเท้าตัวเอง “เห็นรองเท้าข้างนี้มั้ย”
       “เห็นครับนายหัว”
       “ระวังมันจะลอยไปอยู่บนหัวแก” ปลอดว่า
       พงษ์หดรีบถอยออกไป ปลอดมองจอ 3G ซูมจอเห็นหน้าปานเทพเหมือนนั่งคุยอยู่ด้วยกัน
       ปานเทพโวยวาย “พ่อจะเหวี่ยงรองเท้าใส่หัวผมเหรอ”
       ปลอดโมโห “ไม่ใช่โว้ย คุณใหญ่เป็นยังไงบ้าง”
       “มันไม่สนใจอะไรเลยนอกจากหลงเมีย ขนาดรู้ว่าปิ่นอนงค์ขโมยเครื่องเพชรไปให้นังคุณนาย มันยังไม่โกรธ ผมจะไม่เอากับมันด้วยแล้ว อยู่ไปก็ไม่มีความหมาย”
       ปลอดมีสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ได้ ถ้าฉันไม่อนุญาต แกห้ามถอนตัว”
       ปานเทพท้วง “แล้วงานผมละพ่อ ผมก็มีความฝันของผมเหมือนกัน”
       เพ็ญเดินเข้ามาได้ยิน มองหน้าปลอด
       “ถ้าแกแน่ใจว่าทิ้งคุณใหญ่ให้เผชิญกับความเป็นความตายที่ไร่ไพศาลได้ แกก็กลับมาเลย”
       
       ปานเทพอึ้ง 
       ---------------------------------------------------------



 ปรดติดตามตอนที่ 10


รับฟรี สิทธิพิเศษ AirAsia จากบัตรเครดิตร่วมแอร์เอเชีย-กสิกรไทย

No comments:

Post a Comment