Saturday, July 21, 2012

ดูละครปิ่นอนงค์ ตอนที่ 16 Pin Anong EP 16

>> ปิ่นอนงค์ Pin Anong 偷心俏冤家 EP016

ปิ่นอนงค์ ตอนที่ 16   โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


ปานเทพขับรถมาตามทางมุ่งหน้ากลับบ้านที่ใต้ เขาวางแผนชั่ววูบลักพาตัวทัศนีย์กลับไปที่เหมืองด้วย ทัศนีย์หรือจะยอมง่ายดาย ขัดขืนทุบตีจิกข่วนปานเทพพัลวัน
       

       “นี่จะพาชั้นไปไหน หยุดรถ ปล่อยชั้นลงเดี๋ยวนี้”
       ปานเทพโมโหเงื้อมือทำท่าจะตบ ทัศนีย์หลบวูบหยุดอาการ
       “เธอต้องโดนทำโทษ โทษฐานที่น้าเธอทำให้พ่อชั้นถูกจับ ทำให้พี่พงษ์ต้องตาย ด้วยแผนชั่วๆของน้าเธอ”
       ทัศนีย์โวยลั่น “ไอ้บ้า แผนบ้าอะไร พ่อนายนั่นแหละจะมาฆ่าน้าชั้นก่อน”
       ปานเทพหยิบมีดสปริงขึ้นมาดีดผึง คมมีดเล่นแสงแวววาว
       “ถ้าขัดขืน ขัดใจอะไรชั้นอีก ชั้นจะกรีดหน้าเธอ แทงเธอให้ยับกับมือเลย
       ปานเทพเอามีดออกมา สีหน้าเหี้ยมดุดัน “ตกลงๆ ฉัน ฉันจะนั่งเฉยๆ”
       จากนั้นทัศนีย์ก็นั่งตัวลีบ...กลัวตาย
       
       เช้าวันต่อมาใหญ่นั่งกินกาแฟอยู่ในห้องโถง ดูหนังสือพิมพ์บังหน้าบังตาอยู่ ส่วนเพ็ญซึ่งสวมชุดดำไว้ทุกข์นั่งจัดดอกไม้ถวายพระงานศพพงษ์อยู่ข้างๆ
       “สายป่านนี้ทำไมนายปานยังเดินทางมาไม่ถึง”
       จู่เสียงกรี๊ดๆ ของทัศนีย์ก็ดังแผดขึ้นมา พร้อมๆ กับที่ร่างทัศนีย์โดนผลักถลากางปีกเข้ามาล้มลงตรงหน้าใหญ่
       ใหญ่ลดหนังสือพิมพ์ลง ใหญ่ตกใจ ทัศนีย์สบตาใหญ่ แล้วร้องกรี๊ดวิ่งกลับไปกอดปานเทพ หลับหูหลับตาชี้
       “ผีคุณใหญ่ๆ”
       เพ็ญมองทัศนีย์ด้วยสายตางงๆ สักพักทัศนีย์จึงรู้สึกตัวว่ากอดปานเทพอยู่ รีบปล่อยปานเทพ หันมามองใหญ่อีกที
       เสียงใหญ่ถามอย่างเข้ม “แกพาทัศนีย์มาที่นี่ทำไม”
       คราวนี้ทัศนีย์กระพริบตาถี่ๆ เขม้นมองใหญ่ “คุณใหญ่ คุณใหญ่ยังไม่ตาย คุณใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ คุณใหญ่”
       ทัศนีย์ดีใจสุดขีดวิ่งถลาเข้าไปกอด ใหญ่รีบผลักออก “ถอยไป ที่นี่ไม่ใช่บ้านเธอ อย่ามาทำตัวรุ่มร่าม”
       เพ็ญมองปานเทพ “มันเรื่องอะไรกันนายปาน”
       “นายปานฉุดนีมา ฉันจะเอาเรื่องนาย” ทัศนีย์ฟ้องเพ็ญกะใหญ่
       ปานเทพเดินเข้าไปชี้หน้าทัศนีย์ “เธอต้องชดใช้แทนนังน้าเลวของเธอที่ทำให้พ่อชั้นต้องถูกจับติดตะราง”
       ทัศนีย์เถียงฉอดๆ “ชดใช้อะไรกัน ถ้าอยากได้เงินก็ไปเอากับคุณน้า ชั้นไม่มีให้นายหรอก”
       “เงินมันชดใช้อะไรไม่ได้หรอก ต้องเอาตัวเธอนั่นแหละชดใช้ พ่อชั้นต้องทุกข์ใจเพราะสูญเสียอิสรภาพยังไง เธอต้องโดนหนักกว่านั้น” ปานเทพบอกหน้าเคร่ง
       ทัศนีย์รีบถลาไปเกาะแขนใหญ่ เชิดหน้าไม่แยแส “ฉันเป็นญาติกับคุณใหญ่ คุณใหญ่ไม่มีทางยอมให้นายมารังแกชั้นหรอก”
       ปานเทพมองทัศนีย์ แววตาดุดัน
       
       ครู่ต่อมาปานเทพลากทัศนีย์มายังบ้านพักคนงาน ผ่านตรงกองขี้ควาย ทัศนีย์รีบปิดจมูกถอยหนี
       “อี๊ เหม็น สกปรก”
       ระหว่างนั้นคนงานหญิงคนหนึ่งกำลังตักขี้ควายใส่ถังมีหูหิ้ว
       “ป้าไม่ต้องทำแล้ว ให้ยัยนี่ทำแทน คนงานคนใหม่”
       ปานเทพบอกแล้วหยิบที่ตักส่งให้ทัศนีย์
       “ตักขี้ควายใส่ให้เต็มถัง แล้วยกไปทางโน้น เค้าจะย้อมผ้าจากขี้ควายกัน”
       อีกมุมไม่ไกลนัก คนงานหญิงอีกคนกำลังต้มน้ำในกะละมังสังกะสีบนเตาฟืน ป้าคนงานถือไม้ยาวยืนคนน้ำให้เดือด
       “ประสาทหรือ ย้อมผ้าด้วยขี้ควาย ใครจะบ้าใส่”
       คนงานยิ้มๆ บอก “ทำได้ค่ะ ทำขายได้ด้วย ขี้ควายมีประโยชน์เยอะอย่ารังเกียจมันเลยนังหนู”
       ปานเทพเหน็บ “หรืออาจจะมีประโยชน์กว่าเธอด้วยซ้ำ”
       ทัศนีย์โกรธที่โดนด่า “ฉันไม่ทำ ไม่ทำ ไม่ทำ”
       ปานเทพจับมือนีให้จับที่ตัก “ต้องทำ”
       “ไม่ทำ”
       ทัศนีย์สะบัดเต็มแรงแต่ล้มเอง แถมล้มไปแปะบนกองขี้ควาย ทัศนีย์ยกมือสองข้างขึ้นมาดู กลิ่นเหม็นหึ่งสองมือเต็มไปด้วยขี้ควาย
       ทัศนีย์ร้องกรี๊ดสุดเสียง “อ๊ายยย”
       
       พวกๆ ป้าคนงานอุดหูแทบไม่ทัน 
-------------------------------------------------------------


ด้านปิ่นอนงค์อยู่ที่บริเวณสวนเกษตรอินทรีย์ครบวงจร ซึ่งเป็นสวนภายในเหมือง เพื่อให้คนงานบริโภค มีแปลงพืชผักสวนครัว เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ และบ่อปลา
       
       ปิ่นอนงค์กำลังปักแนวแปลงผัก ใช้เชือกฟางผูกโยงหลักไม้เตี้ยๆ มี 4 แปลงด้วยกัน พอเสร็จปิ่นอนงค์ก็นั่งพรวนดินเด็ดวัชพืช ปาดเหงื่อไปพลาง
       เปี๊ยก หวาน และน้อย หิ้วถุงข้าวห่อ น้ำหวาน ถุงใส่ซองเมล็ดพันธุ์พืชเข้ามา
       น้อยแขวนถุงข้าวถุงน้ำที่ต้นไม้ แล้วเดินมา “ข้าวกับน้ำ แขวนไว้ตรงนี้นะ พี่ปิ่น”
       หวานกับเปี๊ยก เข้าไปยื่นถุงซองเมล็ดพันธุ์พืชให้
       หวานถามขึ้น “เอาจริงเหรอปิ่น”
       ปิ่นพยักหน้า ชี้ไปรอบๆ “ใช่ ปลูกเอาไว้เป็นของส่วนรวม ปิ่นมาอยู่เป็นสมาชิกใหม่ ต้องร่วมลงแรงกับเค้าด้วย”
       หวานหันไปคว้าจอบส่งให้เปี๊ยก ชี้ไปตามแปลงที่ปิ่นกั้นแนวเอาไว้
       “จัดการเลยเปี๊ยก เอาจอบปรับพื้นก่อน เดี๋ยวค่อยพรวนดินอีกที”
       เปี๊ยกอ้ำอึ้ง หวานคว้าเสียม เปี๊ยกรีบขุดดินด้วยจอบอย่างแข็งขัน
       ปิ่น หวาน และน้อย ช่วยกันลงเมล็ดพืช
       “แปลงนี้เป็นข้าวโพด ต่อไปเป็นฟักทอง แล้วก็…”
       ปิ่นอนงค์พูดไม่ทันจบคำ เสียงใหญ่ดังลอดเข้ามา “ทำอะไรกัน”
       หมู่มวลหยุดเหลียวไปมองใหญ่ เปี๊ยกรีบโยนจอบทิ้ง ใหญ่เดินเข้ามาเมียงมอง
       “ปิ่นจะปลูกผัก เอาไว้ทำกับข้าว”
       “ปลูกทำไม ก็มีอยู่แล้วเยอะแยะ”
       ปิ่นอนงค์รำคาญใหญ่จึงบอกให้สามคนกลับไป “พี่หวาน พี่เปี๊ยก น้อย กลับไปเถอะ เดี๋ยวปิ่นทำเอง”
       หวานพูดเบาๆ “ระวังๆหน่อยนะปิ่น เด็กในท้องมันจะกระทบกระเทือน”
       ปิ่นอนงค์จับท้องตัวเองแล้วยิ้มแหยๆ รู้สึกผิดที่โกหกทุกคน ใหญ่จ้องอยู่ปิ่นอนงค์รีบพูดกลบเกลื่อน
       “ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ จอมเค้าเป็นคนแข็งแรง ลูกก็ต้องแข็งแรงเหมือนพ่อด้วย”
       ใหญ่ปวดใจทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจ แต่ตาลุก เพราะริษยาพึมพำเบาๆ “หมั่นไส้”
       ใหญ่ส่งเสียงโวยวายพาลใส่ทันที
       “ก็ดีเหมือนกัน จะได้เพิ่มผลผลิต ทุกคนกลับไปช่วยงานน้าเพ็ญ ปิ่นอนงค์จัดการทุกแปลงของเธอให้เสร็จ จะได้ไปสับหยวกคลุกรำให้อาหารหมู ดูปลายข้าวให้ไก่ แล้วก็ไปเก็บไข่เป็ด เสร็จแล้วค่อยไปดูบ่อปลาทีหลัง”
       ปิ่นอนงค์นั่งฟังจนจบ แล้วคว้าจอบมาขุดดินท่าทีเงอะงะ แต่ตั้งใจ
       ใหญ่มองดูแล้วยิ้มเยาะ แววตาดุดัน
       
       ใหญ่จิบกาแฟสบายใจ นั่งที่โต๊ะสนาม กางร่ม มองปิ่นอนงค์ทำงาน
       ปิ่นอนงค์ขุดดินด้วยจอบทำไปได้ครึ่งแปลงแล้ว ยกแขนปาดเหงื่อ เงยหน้าดูแดด
       จังหวะที่ปิ่นอนงค์ยกจอบเงื้อขึ้นแล้วซวนเซไป แต่รีบตั้งหลักจับด้ามจอบ ปิ่นอนงค์หน้ามืดเป็นลมทรุดลงกับพื้น
       “เสียดายไม่ได้เอากล้องมาถ่าย จะได้ส่งไปชิงตุ๊กตาทอง เมื่อวานก็อาหารติดคอ วันนี้เป็นลมทรุดลงกับพื้น เล่นได้สม..” ใหญ่นั่งตบมือ “บทบาทจริงๆ เอ้าเร็วลุกขึ้นมาฟันดินต่อ ไหนว่าจะปลูกโน่นปลูกนี่ เพิ่งปรับดินได้ครึ่งแปลงเอง”
       
       ใหญ่กลับคิดว่าปิ่นอนงค์ทำสำออย

---------------------------------------------------------------


ปิ่นอนงค์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตาปรือ พยายามจะลุก ไม่ไหว
       
       “ถ้าไม่ไหวก็บอกมาตรงๆจะได้เอาร่มไปกางให้ แต่ถ้าขอร้องดีๆชั้นอาจจะใจดีพาเธอกลับกระท่อมก็ได้นะ”
       ปิ่นอนงค์มองใหญ่สายตาชิงชัง “คุณใหญ่อยากเห็นปิ่นขุดดินจนเหนื่อยตาย คุณใหญ่จะได้เห็น ปิ่นจะทำจนกว่าคุณใหญ่จะสะใจ”
       ปิ่นอนงค์พยายามยันตัวกับด้ามจอบหน้าสั่น ใหญ่แดกดันต่อ
       “อ๋อ ... อยากจะแก้แค้นด้วยการเอาชนะชั้นให้ได้ใช่มั้ย เอาเลยปิ่นอนงค์ ชั้นอยากดูเธอเป็นลมจนแดดเผาตายไปต่อหน้าต่อตา เอาสิตายให้ชั้นดูหน่อย เร็ว ...”
       ในที่สุดปิ่นอนงค์ก็ยันตัวพยุงกับด้ามจอบจนยืนขึ้นได้ ปิ่นอนงค์กัดฟันยกจอบแต่ไม่ไหว ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เข่าทรุดลง ก่อนที่ร่างจะอ่อนปวกเปียกร่วงผล๋อยไปกับพื้น
       ใหญ่มองอยู่ ลุกพรวดวิ่งไปประคองปิ่นอนงค์เขย่าเป็นการใหญ่ “ปิ่น ปิ่นอนงค์”
       
       ครู่ต่อมา ปิ่นอนงค์นอนหลับอยู่บนแคร่ หมอคนสนิทที่เคยมารักษาใหญ่ เก็บเครื่องมือใส่กระเป๋า ใหญ่มองปิ่นอนงค์ด้วยความรู้สึกผิดและห่วงใยอยู่ที่ประตู
       เพ็ญนั่งอยู่ปลายแคร่ น้อยยืนหลังเพ็ญ มองปิ่นอนงค์อย่างสงสาร
       หมอพยักหน้ากับเพ็ญ แล้วเดินมาที่ประตู
       ใหญ่จับแขนหมอถามเรื่องเด็ก
       “เด็กเป็นยังไงบ้างครับพี่หมอ ผมผิดเองผมลืมไปว่าเค้าท้องอยู่ ผมไม่น่าให้เค้าทำงานหนักอย่างนี้เลย”
       หมองง “คนไข้ไม่ได้ตั้งครรภ์นี่ครับคุณใหญ่ เพียงแค่ร่างกายขาดอาหารแล้วก็เป็นลมแดดเท่านั้นเอง”
       ใหญ่กับเพ็ญ สบตากัน ต่างคนต่างอึ้ง
       
       น้อยถือผ้าถุง เสื้อผ้าเช็ดตัว วิ่งร่าเริง ผ่านหวานที่นั่งให้เปี๊ยกนวดอยู่
       หวานร้องถาม “เดี๋ยวนังน้อย นั่นเอ็งจะรีบไปไหน”
       “คุณเพ็ญให้เอาเสื้อผ้าไปให้พี่ปิ่นเปลี่ยน”
       น้อยบอกพลางปิดปากขำหวานงง “ขำอะไรนักหนา”
       “สะใจ พี่ปิ่นไม่ได้ท้องกับพี่จอม”
       เปี๊ยก หวานตาค้าง “หา แล้วมันท้องกับใคร อย่าบอกนะว่าท้องกับคุณนะ”
       น้อยเล่าต่ออย่างสะใจ “เปล่า พี่ปิ่นไม่ได้ท้องกับใคร แต่สร้างเรื่องโกหกคุณใหญ่”
       เสียงแตรรถบีบเรียกติดกันสองครั้ง
       “ไปล่ะ คุณเพ็ญรออยู่”
       น้อยวิ่งจู๊ดออกไป หวานหันมาหาเปี๊ยกสองคนดีใจกัน
       “เห็นมั้ย...”
       เปี๊ยกปิดตา ส่ายหน้า หวานตีเปี๊ยก
       หวานว่าต่อ “ยังพูดไม่จบ เห็นมั้ยชั้นนึกแล้ว นังปิ่นมันไม่ใช่ผู้หญิงมากผัวมั่วผู้ชาย”
       เปี๊ยกทำท่าค้านว่าไม่เห็นเคยพูดให้ได้ยินเลย
       “ไม่เคยได้ยินฉันพูดหรือ ก็ชั้นไม่ได้พูดให้แกได้ยิน แต่ชั้นคิดอยู่ในใจโว้ย”
       ตะวันคล้อยต่ำ ความมืดเข้าคลุมทั่วพื้นที่ในเหมือง แสงตะเกียงวอมแวมในกระท่อมท้ายเหมือง ปิ่นอนงค์ยังนอนหลับตาพริ้ม
       สักครู่หนึ่งปิ่นอนงค์กระแอมไอ ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น ปิ่นอนงค์ยันตัวลุกนั่ง เหลือบไปเห็นใหญ่มองตาขวางอยู่ก็ตกใจ
       ใหญ่นั่งหลบตรงมุมกระท่อม ตาดุ จ้องปิ่นอนงค์เขม็ง
       “เธอโกหกชั้น หลอกชั้นว่าเธอท้องกับไอ้จอม เธอคิดอะไรของเธอ ปิ่นอนงค์ ทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร”
       ปิ่นอนงค์หลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าสู้หน้า “คุณใหญ่รู้แล้ว”
       ใหญ่โมโหตรงเข้าไปกระชากปิ่นอนงค์ ด่าเป็นชุด “เธอเห็นฉันเป็นวัวเป็นควาย ปั่นหัวได้ตามใจชอบหรือ ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมา มีตรงไหน ตอนไหน เวลาไหนที่มันมีความจริงใจบ้าง ยัยเด็กโง่แสนซื่อบริสุทธิ์ที่ฉันเคยเห็นมันหายไปไหนหมด จิตใจเธอมันพิกลพิการไม่ได้สวยงามเหมือนชื่อเธอเลยสักนิด”
       ปิ่นอนงค์นึกโกรธ เชิดใส่ใหญ่ “ปิ่นแค่อยากให้คุณใหญ่ช่วยประกันตัวจอมออกมา ไม่อยากให้คุณใหญ่เอาเรื่องทางกฎหมายกับจอม เพราะจอมเป็นคนที่ปิ่นรักค่ะ”
       ใหญ่ยิ่งเจ็บใจ “แล้วเธอก็ทำสำเร็จ สุดท้ายชั้นก็สงสารเธอกับมัน สงสารลูกในท้องของเธอ นี่เธอทำเพื่อมัน หลอกลวงฉันเพื่อมันยอมแม้กระทั่งให้คนคิดว่าเธอมีชู้เลยเหรอ ปิ่นอนงค์”
       ปิ่นอนงค์เงยหน้าสบตา สู้สายตาใหญ่ “ปิ่นไม่เคยมีชู้ ไม่เคยมีอะไรกับจอม ปิ่นหลอกคุณใหญ่เพราะไม่อยากให้คุณใหญ่มายุ่งเกี่ยวกับปิ่นอีก”
       ใหญ่บันดาลโทสะ จับไหล่ปิ่นทั้งสองข้าง ดึงให้ยืนขึ้น เวลานี้ใหญ่แค้นจนน้ำตาคลอ พูดเสียงสั่น
       “เธอใจร้ายกับฉันมาก ทำไมเธอใจร้ายกับฉันขนาดนี้ ฉันเกลียดเธอ”
       ใหญ่ระดมจูบ ซุกไซ้กอดปล้ำปิ่นอนงค์ด้วยแรงโทสะ และเสียใจ
       ปิ่นอนงค์ดิ้นรน แต่ด้วยความรักที่มีต่อใหญ่ ทำให้ร่างปิ่นอนงค์อ่อนยวบหยุดดิ้น
       มือของปิ่นอนงค์จากที่ผลักไส ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกอดใหญ่ด้วยความรัก
       ทั้งสองคนที่ต่างพยายามแสดงออกตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายในใจ ค่อยๆ เอนลงบนแคร่ ร่างของใหญ่กับปิ่นอนงค์แทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
       
       แสงตะเกียงจากในกระท่อมวูบไหว และดับมืดลง ขณะที่แรงปรารถนาในใจของสองคนกำลังคุโชน

--------------------------------------------------------------------


ภายในครัวบ้านปลอด ตอนเช้าวันต่อมา ทัศนีย์ลงครัวหุงหาอาหารทำกับข้าวครั้งแรกในชีวิตตามคำสั่งปานเทพ ข้าวผัดในกระทะไหม้จนควันโขมง ทัศนีย์ตกใจเอาน้ำสาดเข้าไป ข้างๆ กันหม้อแกงจืดน้ำเดือดล้นหม้อออกมา
       
       ทัศนีย์พยายามปิดไฟเตาแก๊สวุ่นวาย แต่ศอกดันไปโดนขวดซีอิ๊วหล่นแตกกระจาย
       ปานเทพกอดอกยืนมองอยู่ ทนไม่ไหว “หยุด ถอยออกมา ระวังเศษแก้ว”
       ปานเทพเข้าไปปิดวาล์วเตาแก๊ส เปิดฝาหม้อแกง
       “ข้าวผัด แกงจืดนี่มันอาหารขั้นพื้นฐานแล้วนะทัศนีย์ แค่นี้ก็ทำไม่เป็น ปัญญาอ่อนจริงๆ”
       “ก็ชั้นไม่เคยทำนี่ มาบังคับให้ทำทำไม อยากกินก็ไปซื้อเอาสิ” ทัศนีย์เถียงอย่างน้อยใจ “ใช้อีน้อย อีหวานมาทำก็ได้นี่”
       ปานเทพฉุน “ก็แค่อยากจะสอนให้ทำอะไรดีๆเป็นบ้าง เคยมั้ยในชีวิตนี้ เคยทำอะไรดีๆ บ้างมั้ย”
       ทัศนีย์ด่ากลับ “ไอ้บ้า มาด่าชั้นทำไม นายเป็นพ่อแม่ชั้นเหรอ”
       ทัศนีย์โผเข้าหาหมายจะตบตี ปานเทพรวบตัวเอาไว้ สองคนสบตากัน
       ใหญ่ยืนพิงขอบประตูครัวดูอยู่ “ฉันช่วยมั้ย ดื้อๆ อย่างนี้ ชั้นมีวิธีลงโทษ”
       สามคนสบตากันไปมา
       
       ปิ่นอนงค์เปิดมุ้ง เก็บพับเครื่องนอน เหลือบไปเห็นเงินวางอยู่สองพันกับโน้ตกระดาษพับอยู่
       จึงเปิดอ่าน
       “ค่าตัวของเธอ”
       ปิ่นอนงค์โมโห ตาขวาง กำกระดาษ เดินไปหยิบเงินมากำด้วย เสียงรถเข้ามาจอด
       ปิ่นอนงค์หันเดินไปที่ประตู เป็นจังหวะที่ใหญ่เปิดเข้ามา ปิ่นอนงค์จะเขวี้ยงเงินใส่
       ใหญ่ดึงทัศนีย์เข้ามาด้วย ปิ่นอนงค์รีบลดมือลงทัน
       “คุณนี”
       ปานเทพอยู่หลังใหญ่
       “เธอต้องอยู่กับปิ่นที่นี่ ทัศนีย์”
       ทัศนีย์ตกใจตาค้าง เพราะคิดว่าปิ่นอนงค์ตายแล้ว
       “นังปิ่น แก แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมไม่มีใครบอกนีว่ามันก็อยู่ที่นี่ด้วย แสดงว่ามันรอดตายมาพร้อมคุณใหญ่สิ”
       ใหญ่ตวาด “ไม่ต้องอยากรู้อะไร เพราะเธอสองคนอยู่ในฐานะนักโทษ”
       ใหญ่หันตัวจะออกไป ทัศนีย์ร้องโวยวาย “กระท่อมซอมซ่อเนี่ยนะคุณใหญ่ นีจะอยู่ได้ยังไง”
       ใหญ่หันมามองหน้าดุ “ปิ่นอนงค์อยู่ได้ เธอก็ต้องอยู่ได้”
       ปานเทพมองสำรวจสถานที่ แล้วงวยงง ว่าสองสาวจะอยู่กันได้ยังไง เพราะยังไม่เหี้ยมเท่าใหญ่ยังมีแอบเห็นใจสาวๆ
       ใหญ่รู้ทันตบไหล่ปานเทพ “ไป กลับกันได้แล้วเรา”
       ใหญ่กะปานเทพ กลับไปแล้ว ทัศนีย์หันมาจ้องปิ่นอนงค์ตาลุก
       ปิ่นอนงค์สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้กลัวเกรงอะไรทัศนีย์แล้ว
       
       ตอนสายๆ ปิ่นอนงค์เปลี่ยนชุดทำสวน กำลังเอาฝักบัวรถน้ำแปลงผัก ทัศนีย์เดินวางมาดเป็นครองสุข
       “แกนี่มันร้ายจริงๆนะ นังปิ่น ยอมได้ทุกอย่างเพื่อซื้อใจคุณใหญ่ พอเค้าเผลอแกก็แอบไปมีอะไรกับคนโน้นคนนี้ ไหนทำยังไงชั้นถึงจะได้ใจคุณใหญ่อย่างแกบ้าง สอนหน่อยสิ”
       ฟังแล้วปิ่นอนงค์ยิ้มเยาะตัวเอง แล้วไปนั่งหยอดเมล็ดพืชใส่ดิน
       “คุณนีเข้าใจผิดแล้วค่ะ คุณใหญ่ไม่เคยรักปิ่นเลยสักนิด แต่ถ้าคุณนีรักคุณใหญ่จริง ต้องทำให้เค้าเลิกอาฆาตพยาบาทคุณนายให้ได้ จิตใจคุณใหญ่จะได้คลายความแค้นลง”
       ทัศนีย์กลับมาเป็นตัวเอง “อุ๊ย ... จะเป็นไปได้ยังไง คุณน้าก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้กับคุณใหญ่ไม่รู้เท่าไหร่ กับเธอก็เถอะ เธอคงยังไม่รู้ซินะ ว่าแม่เธอตายเพราะอะไร”
       ปิ่นอนงค์ตื่นเต้น “เพราะอะไรคะ บอกปิ่นซิคะ”
       ทัศนีย์รู้สึกตัว “เพราะ...คุณใหญ่น่ะซิ แล้วยังมีหน้ามาอยู่กับเค้า เห็นแก่ผู้ชายมากกว่าแม่ ฉันละเชื่อเธอจริงๆ”
       “ปิ่นอยู่เพราะอยากให้คุณใหญ่หยุดความแค้น คุณนีต้องทำให้คุณนายเลิกทำบาปก่อเวรกับคุณใหญ่อีกต่อไป ถ้าหยุดแล้วอภัยให้กัน คุณนีเองก็จะมีความสุขไปด้วย”
       ทัศนีย์ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่แยแส “แกนี่มันเพ้อเจ้อ พูดโง่ๆ อย่างคุณน้ากับคุณใหญ่ มีเหรอที่จะมาจับมือกันได้”
       “ค่ะ ปิ่นโง่ แต่ถ้าทุกคนฉลาดกันหมดก็จะไม่มีใครยอมใคร ถ้ายอมแล้วทำให้เราสบายใจ ปิ่นขอเป็นฝ่ายยอมเองค่ะ”
       ทัศนีย์มองปิ่นอนงค์อย่างขัดใจ บ่นพึมพำ
       “อีบ้า พูดอะไรไม่รู้เรื่อง สงสัยอากาศมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเลยติงต๊องไปแล้ว”
       
       ทัศนีย์ยกเอามือป้องแดด แล้วรีบเดินหนีไปหลบพัก

---------------------------------------------------------------


 เวลาเคลื่อนคล้อย ปิ่นอนงค์ทำงานอย่างแข็งขัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ และกลับกระท่อมอาบน้ำ สองสาวเปลี่ยนชุดกันแล้วทั้งคู่
       
       ทัศนีย์ยืนกอดอก มองปิ่นอนงค์กางมุ้ง จัดที่นอนบนแคร่ให้ มีหมอน ฟูกผ้านวมเก่าๆ ผืนบางๆ ผ้าห่มเก่าๆ ผืนเดิม
       “เสร็จแล้วค่ะ ลำบากหน่อยนะคะ แต่อากาศดี เดี๋ยวก็หลับ”
       ทัศนีย์ยุกยิก ตบโน่น เกานี่ ขณะที่ปิ่นอนงค์จัดที่นอนตัวเองไปมาบนพื้นกระท่อม
       ปิ่นอนงค์นั่งบนเสื่อเก่าๆ มีผ้าห่มพับม้วนเป็นก้อนแทนหมอนแค่นั้น
       “แกนี่บ้าไปแล้วจริงๆ ยอมให้คุณใหญ่จิกใช้ได้ขนาดนี้”
       “เข้าใจแล้วใช่มั้ยคะ ถ้าคุณใหญ่รักปิ่น จะทำอย่างนี้กับปิ่นทำไม อย่าระแวงปิ่นอีกเลยค่ะ”
       ทัศนีย์ค้อนปิ่น ขัดเคืองใจ หันไปมองตะเกียง ครุ่นคิด
       ปิ่นอนงค์มองทัศนีย์ แล้วเศร้าใจคิดถึงทรรศนะ “คุณนะสบายดีมั้ยคะ”
       “สบายบ้าอะไร วันๆเอาแต่เมา กลายเป็นปีศาจสุราไปแล้วเพราะแกนั่นแหละนังปิ่น”
       ทัศนีย์ดึงมุ้งลง ปิ่นอนงค์หรี่ไฟไขไส้ตะเกียงลง
       ปิ่นอนงค์ไม่สบายใจ ตะแคงตัวจะนอน ทัศนีย์โผล่พรวดออกมาจากมุ้ง ยื่นมือเข้าไปดึงผ้าห่มที่ม้วนแทนหมอนอยู่ไปเลยแบบไม่เกรงใจ จนปิ่นอนงค์หัวเกือบโขกพื้น
       “เอาผ้าห่มมา แกไม่ต้องใช้หรอก”
       ทัศนีย์มุดเข้ามุ้ง ปิ่นอนงค์เอนตัวนอนไม่ถือสา หนุนมือกับแขนแทนหมอน หลับตาลง อยากให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปเร็วๆ
       
       รุ่งเช้าปิ่นอนงค์ยกหม้อข้าวลงจากเตาถ่าน ตรงมุมครัวข้างกระท่อม ตักข้าวใส่จานวางให้ทัศนีย์ มีจานกับข้าวเป็นผัดผักบุ้งกับไข่เจียว
       “เชิญค่ะ กำลังร้อนๆ”
       “ใครจะไปกินลง ไม่เห็นมีอะไรหน้าตาน่าอร่อยสักอย่าง”
       “ไม่อร่อยก็ต้องกินนะคะ เพื่อรักษาชีวิต”
       ปิ่นอนงค์ตักข้าวให้ตัวเอง มองทัศนีย์ เห็นทัศนีย์ไม่ยอมนั่ง เลยกินคนเดียว
       “นี่แกหวังสมบัติคุณใหญ่จนต้องทนใช้ชีวิตลำเค็ญขนาดนี้เลยเหรอ ชั้นไม่เอาด้วยหรอก”
       ปิ่นอนงค์ไม่ตอบ ตักกินข้าวต่อ ทัศนีย์กลืนน้ำลาย พอปิ่นอนงค์จะตักไข่เจียว ช้อนในมือทัศนีย์โผล่เข้า มาตักไข่เจียวใส่จานข้าวกิน ยิ้มแหยๆ หลบตา
       ปิ่นอนงค์ทอดยิ้มให้ทัศนีย์
       
       ปานเทพแอบอยู่ตรงพุ่มไม้ข้างลำธาร สอดส่ายสายตาผ่านพุ่มไม้แอบดู
       ทัศนีย์ใช้ขันตักน้ำใส่ถังพลาสติกถังเดียว ขณะที่ปิ่นอนงค์ยกปี๊บตักน้ำ แล้วเอาไปวางใช้ไม้คานสอดเข้าห่วงเชือกของปี๊บทั้งสองถัง
       ปิ่นอนงค์หาบน้ำเดินไป ทัศนีย์เดินหน้ามุ่ยถือถังน้ำตาม สะดุดล้ม น้ำหกหมดถัง
       “อ๊าย” ทัศนีย์ลุกยืนด้วยความโมโห “ไม่ทำมันแล้ว”
       ทัศนีย์ปาถังทิ้ง กระแทกเท้าตามปิ่นอนงค์ไป
       มือข้างหนึ่งของใหญ่ยื่นมาตบไหล่ปานเทพอย่างแรง ปานเทพสะดุ้งยืน
       “ทำไมเป็นห่วงยัยชะนีจะทนลำบากไม่ได้ล่ะสิ”
       ปานเทพอึกอัก “ปละ .. เปล่า กลัวจะหนีต่างหาก”
       “แกกำลังจะใจอ่อน เหมือนที่ชั้นเคยเป็น”
       ปานเทพฟุ้ง ปล่อยไก่ “ไม่มีทาง ชั้นเป็นห่วงปิ่นมากกว่า คนกำลังท้องกำลังไส้ แกทรมานเค้าอย่างนี้มันบาปนะโว้ย”
       “ท้องบ้าอะไร ปิ่นหลอกชั้น หมอตรวจดูแล้ว ผู้หญิงพวกนี้มารยาเยอะ ระวังเอาไว้เถอะแกจะเจ็บจนจุก”
       ปานเทพตกใจ “เฮ้ย หลอกว่าท้องหรือวะ ทำไมกล้าทำกันขนาดนี้”
       “แล้วแกจะว่าฉันทำเกินไปอีกหรือเปล่า”
       คราวนี้ปานเทพของจึ้น “น้อยไปด้วยซ้ำ ยัยชะนีต้องได้รับบทเรียนให้หนักกว่านี้อีก”
       
       คืนนั้นภายในกระท่อม ทัศนีย์นอนอยู่บนแคร่จะหลับมิหลับแหล่ ส่วนปิ่นอนงค์กำลังเช็ดถูทำความสะอาดห้อง
       จู่ๆ ปานเทพเปิดประตูเข้ามา ดึงทัศนีย์ให้ลุกขึ้น ทัศนีย์แว้ดใส่
       “อะไรของนาย ชั้นกำลังพักผ่อนอยู่นะ ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว”
       “นึกว่าชั้นพาเธอมาเที่ยวพักผ่อนหรือยังไง ลืมไปแล้วเหรอว่า เธอมาที่นี่เพื่อไถ่โทษให้น้าเธอที่ทำเวรทำกรรมกับครอบครัวของชั้น กับพ่อชั้น”
       ปิ่นอนงค์เข้ามายืนมองหน้าเครียด
       “เรื่องร้ายๆทั้งหมด มันเกิดขึ้นเพราะปิ่นคนเดียว ถ้าคุณปานจะลงโทษก็ลงโทษที่ปิ่นเถอะค่ะ”
       ปานเทพบอก “ไม่เกี่ยวกับเธอปิ่น ทัศนีย์เองก็ก่อเรื่องก่อราวที่ไร่ไม่ใช่น้อย ไม่ต่างจากคุณนายครองสุขเท่าไหร่หรอก”
       ทัศนีย์เถียง “นายก็เกกมะเหรกเกเรไม่ต่างจากนายปลอดพ่อนายเหมือนกัน”
       ปานเทพยัวะ “มาลามปามพ่อชั้น เธอมันติดนิสัยน้าเธอ เพราะไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน”
       “นายมันก็ไม่มีแม่ เหมือนกันนั่นแหละ”
       ปานเทพกับทัศนีย์ ต่างถลันเข้าหากัน ทัศนีย์เชิดหน้าใส่ไม่กลัวเกรง ปานเทพเงื้อมือจะตบ ใหญ่พรวดเข้ามาจับมือปานเทพดึงไป ปิ่นอนงค์เข้าขวางหน้าทัศนีย์ เหลือบตามองทัศนีย์สลับกับมองปานเทพ
       “เราไม่ควรพูดพาดพิงไปถึงบุพการีของใคร ตรงนี้มีใครมีพ่อแม่ครบสมบูรณ์บ้าง”
       ปิ่นอนงค์กวาดตามองไล่ไปทีละคน
       “คุณปานเองก็ไม่มีแม่ คุณนีก็ขาดทั้งพ่อและแม่ คุณใหญ่กับปิ่นก็เหมือนกัน เราต่างก็บ้านแตก แล้วจะมาโกรธเกลียดทิ่มแทงกันเองทำไม พวกเราน่าจะเห็นใจซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ”
       ปานเทพกับทัศนีย์ยังจ้องกันหน้าอยู่ ใหญ่ยิ้มเยาะ ดันปานเทพไปข้างๆ
       ใหญ่มองปิ่นอนงค์ด้วยสายตาเย็นชา
       “ยังปากดีเหมือนเดิมนะ ปิ่นอนงค์ แต่คำพูดของเธอตอนนี้ มันไม่ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะทำให้ชั้นเคลิ้มตามได้อีกแล้ว มานี่ มาด้วยกันทั้งคู่ ปานเอาทัศนีย์ตามมา”
       
       ใหญ่เข้าจับแขนลากปิ่นอนงค์ออกไป ปานเทพลากทัศนีย์ตามติด

----------------------------------------------------------


ปิ่นอนงค์นั่งสับหยวกกล้วยอยู่ที่บริเวณเล้าหมู เห็นหยวกกล้วยกองอยู่ข้างๆ กองใหญ่
       คนงานในเล้าแอบมองเป็นระยะใหญ่เร่งเร้า 
       
       “รีบๆเข้า ต้องเอาไปคลุกรำข้าวอีก”
       ปิ่นอนงค์ทำงานอย่างมุ่งมั่น มองค้อนใหญ่ตาดุ ขณะสับหยวกไปมา ปิ่นอนงค์ระบายอารมณ์ด้วยสับแรงๆ เหมือนกำลังสับใหญ่ จนหยวกกล้วยกระเด็นมาใส่หน้าใหญ่จังๆ ใหญ่ร้อง “โอ๊ย”
       ปิ่นอนงค์ตกใจ แต่พอใหญ่จ้องมา ปิ่นอนงค์กลับทำเชิด ใหญ่ทั้งโกรธ ทั้งอายคนงาน
       “นี่เธอ ตั้งใจแกล้งฉันหรือ”
       ปิ่นอนงค์ลุกยืนมองอย่างท้าทาย “มันเป็นอุบัติเหตุ ใครๆ ก็เห็น ใช่มั้ยคะ”
       ปิ่นอนงค์มองพวกคนงานหญิงหาแนวร่วม แต่พอใหญ่มองไป พวกคนงานต่างพากันก้มหน้าไม่กล้ายุ่ง
       “เห็นมั้ย ไม่มีใครเห็น แสดงว่าเธอจงใจ สงสัยงานสับหยวกกล้วยคงเบาไปสำหรับเธอ”
       ใหญ่จับข้อมือปิ่นอนงค์ ลากไป ปิ่นอนงค์เซตาม
       
       ใหญ่ลากปิ่นอนงค์มาที่ที่เล้าหมูอีกมุม ชี้ที่อาหารแห้งเป็นถุงสั่งงาน
       “เทอาหารหมูใส่รางให้ครบทุกราง”
       ปิ่นอนงค์ไม่ปริปาก เดินไปยกถุงอาหารแห้งแบบสบายๆ ยกไปเทใส่รางหมูอย่างคล่องแคล่ว
       ใหญ่มองตาม ปิ่นอนงค์พูดโดยไม่เงยหน้ามอง “เสร็จจากตรงนี้ จะให้ทำอะไรอีกก็สั่งมาเลยนะคะ”
       ปิ่นอนงค์ยืดตัวขึ้น ปากกล้าใส่ “หรือจะให้ล้างคอกหมูด้วยก็ได้”
       จากนั้นปิ่นอนงค์ก้มหน้าทำต่อ ใหญ่ยิ่งขัดใจที่ทำอะไรปิ่นอนงค์ไม่ได้สักอย่าง
       จังหวะหนึ่งใหญ่เลยแกล้งยั่ว “ไม่ต้องห่วง จะให้ทำทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลย คอยดู”
       ใหญ่ยิ้มเย้ย ปิ่นอนงค์หน้าเสียนึกว่าใหญ่พูดจริง ใหญ่สะใจยิ้มเยาะ
       ทัศนีย์หน้าดำเป็นปื้นๆ ถือฟืนมือละดุ้น เดินตามคนงานที่แบกฟืนเป็นมัดใหญ่ๆ แถวหน้าเตาเผา
       ปานเทพเข้ามาดึงฟืนออกจากมือทัศนีย์ แล้วหอบฟืนที่มัดเป็นกลุ่มส่งให้
       ทัศนีย์อุ้มฟืนหน้าตาน้อยใจ เดินโซเซตามคนงานไป
       ต่อมาที่กองถ่านเผาเสร็จแล้ว ทัศนีย์จีบนิ้วหยิบถ่านใส่ถุงก๊อบแก๊บ ลุกยืนด้วยหน้าตาเจ็บปวดจากการทำงานหนัก ถือถุงถ่านมือละใบ
       ปานเข้ามามองถุงถ่านในมือทัศนีย์ “จะเอาไปทำอะไร”
       ทัศนีย์ตอบซื่อๆ “เอาไปให้ปิ่นหุงข้าว ทำกับข้าว”
       “แล้วมันพอมั้ย แค่นี้”
       ปานเทพกระชากถุงถ่านทิ้งกระจาย เดินไปหยิบกระสอบถ่าน ครึ่งกระสอบ เอากระสอบถ่านใส่หลังทัศนีย์ ประคองไว้
       “เอื้อมมือมาจับขอบกระสอบ”
       ทัศนีย์เอื้อมมือข้ามไหล่ไปจับกระสอบ
       ปานเทพปล่อยกระสอบ ทัศนีย์ออกเดิน แต่หนักจนร่างทรุดลงกับพื้น มองหน้าปานเทพแล้วร้องไห้โอดครวญ
       “มันหนักจริงๆ นะไม่ได้แกล้ง”
       วูบหนึ่งปานเทพสงสาร หน้าเสีย แต่นึกได้ก็ทำดุ “รู้ว่าหนักถึงได้ให้เธอทำ ลุกขึ้น”
       
       ทัศนีย์กัดฟันลุกเดินเซไปเซมา ปานเทพลุ้นกลัวทัศนีย์ล้มทำท่าเดินตาม กางแขนตลอดๆ คล้ายจะคอยเข้าช่วยประคองทุกวินาทีถ้าเกิดล้ม แต่ทัศนีย์ไม่เห็น
       
       รถบรรทุกหินกรวดจอดอยุ่ใกล้ๆ ทางเข้าสวนเกษตร เพื่อรอเอาหินไปถมทางเดิน ใหญ่กับปานอยู่กับคนงานตรงท้ายรถ คนงานชายตักหินใส่รถเข็นให้ปิ่นอนงค์ ปิ่นอนงค์ปาดเหงื่อ ทัศนีย์ยืนข้างๆ
       ใหญ่คุยกับคนงานอีกคน “ทางเข้ามันเฉอะแฉะ เอาหินไปถมให้เดินสะดวกหน่อยแล้วกัน” หันมาสั่งจี้ปิ่นอนงค์ “รีบเข็นไปสิ อย่ากินแรงคนอื่น”
       ปิ่นอนงค์กับทัศนีย์ช่วยกันเข็น ออกแรงเต็มที่ เห็นคนงานหญิงก็เข็นกันแข็งขัน
       ปิ่นอนงค์แอบมอง ใหญ่กะปานเทพ แล้วรีบเข็นรถเข้าแอบหลังรถบรรทุกหิน ทัศนีย์งงๆ ปิ่นอนงค์รีบดึงทัศนีย์ไปนั่งพิงล้อรถ
       “คุณนี หลบอยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวปิ่นไปทำแทนเอง คนงานเยอะ คุณใหญ่กับพี่ปานไม่ทันสังเกตหรอก”
       เปี๊ยกวิ่งเข้ามา ถือขวดน้ำมาขวดเดียวส่งให้ปิ่นอนงค์ เพราะไม่ชอบหน้าทัศนีย์ ปิ่นอนงค์ไหว้ขอบคุณเปี๊ยก สองคนยิ้มให้กัน ทัศนีย์มองงงๆ “อ้าว แล้วของฉันล่ะ”
       ทัศนีย์ไม่เกรงใจ แย่งน้ำจากมือปิ่นอนงค์มาดื่มอย่างกระหาย เปี๊ยกไม่พอใจชี้ฟ้อง ปิ่นอนงค์ยิ้มให้บอกเปี๊ยก
       “ไม่เป็นไรจ้ะ แบ่งกันได้”
       
       เปี๊ยกฮึดอัดขัดใจที่เห็นปิ่นอนงค์ดีกับทัศนีย์ซึ่งเอาเปรียบทุกสิ่งอย่าง

------------------------------------------------------------


เวลาเดียวกัน ที่ศาลาอเนกประสงค์ในไร่ไพศาล คนงานชายหญิงราว 8 คนกำลังกินข้าวกันอยู่ที่สุดปลายโต๊ะทรรศนะนั่งเมาปลิ้น ตาปรือ
       
       จู่ๆ ทรรศนะก็ลุกขึ้นยืน ท่าทีโงนเงนมือเท้าโต๊ะเอื้อมมือไปหยิบเนื้อไก่ในชามแกงของคนงานมากิน
       คนงานไม่ถือสาเลื่อนให้ทั้งชาม
       ทรรศนะนึกว่าคนงานยกชามหนี จึงมองตาขวาง พร้อมกับตะโกนด่า “รังเกียจเหรอพวกมึง แค่นี้ หวงเหรอ” แล้วเขวี้ยงชามใส่กลางวงกินข้าว คนงานลุกกันพรึ่บ
       ทรรศนะกระโดดเข้าเตะต่อยอย่างชุลมุนวุ่นวาย คนงานไม่สู้ต่างหลบกันเหมือนหนีหมาบ้า
       ทรรศนะล้มลุกคลุกคลาน
       ครองสุข อรสอางค์ และจิ๋ว วิ่งเข้ามา “หยุดเดี๋ยวนี้ ตานะ” ครองสุขตวาดลั่น
       ทรรศนะชะงัก ยืนโงนเงนแอ่นไปแอ่นมาแทบทรงตัวไม่อยู่ มองตาขวาง
       อรสอางค์ กับจิ๋ว สบตากัน อรสอางค์ทั้งโกรธ ทั้งอาย
       
       ครองสุขกลับห้องทำงาน หัวเสียนั่งเครียดเรื่องทรรศนะที่กลายเป็นปิศาจสุราเต็มขั้น อรสอางค์มองครองสุขแล้วเอ่ยขึ้น
       “อรจะส่งนะไปสถานบำบัด อย่างนี้ถึงขั้นต้องพบแพทย์แล้ว”
       ครองสุขค่อยๆ ยิ้มออก เห็นดีด้วยใช่ๆ ต้องบำบัด แต่ไม่ต้องไปหาหมอหรอก หาเมียน้อยมาให้นะดีกว่า”
       อรสอางค์สะดุ้ง ตกใจ โวยวายไม่ยอม “อะไรนะ อรไม่ยอมเป็นเมียหลวงหรอกนะคะ อรจะเป็นเมียคนเดียวของนะ”
       ครองสุขตำหนิเอา “นี่เธออย่าโง่ อย่าเห็นแก่ตัวนักเลย เธอมันอยู่กับตานะมานานก็เหมือนของเก่าแล้ว ผู้ชายก็เหมือนเด็กๆ นั่นแหละ พอได้ของเล่นชิ้นใหม่ก็คึกคักกระปรี้กระเปร่า พูดจารู้เรื่อง ถ้าอยากให้ตานะเลิกสำมะเลเทเมา เราก็ต้องหาของเล่นใหม่ๆ ให้”
       อรสอางค์ลุกพรวด “นี่คุณน้าเอาอวัยวะส่วนไหนมาคิด ไม่เห็นใจผู้หญิงด้วยกันอย่างอรเลยเหรอคะ”
       ครองสุขไม่แยแส “ทำไมต้องเห็นใจ เธอวิ่งแจ้นมาอยู่กับตานะเอง ผู้ชายไม่เอายังตื๊อจะผูกมัดเขาให้ได้ ก็ทนๆเอาเองสิ จะมาเรียกร้องความเห็นใจหาสวรรค์วิมานอะไรกับฉัน”
       อรสอางค์โกรธจนตัวสั่น แต่ทำอะไรไม่ได้ กวาดข้าวของบนโต๊ะทำงานตกกระจาย จ้องหน้าครองสุขอย่างไม่กลัวเกรง
       ครองสุขมัวแต่ยืนงงๆ อรสอางค์สะบัดพรืดออกไป
       “อีๆ ผู้ดีเขาทำกันอย่างนี้หรือ แกชักจะวอนขึ้นวันแล้วนะ”
       ครองสุขโกรธเป็นฟืนเป็นไฟด่าลั่น
       
       ฟากทรรศนะนอนเมากึ่มอยู่บนเตียง อรสอางค์เข้ามาหน้าตาเครียดจัด ทรรศนะลุกชี้สั่งอรสอางค์ “ไปเอาเหล้ามา จะกินเหล้า”
       อรสอางค์ปัดมือ “ตั้งสติหน่อย ถ้านะไม่เป็นผู้เป็นคนอย่างนี้ อรจะพานะไปให้พ้นจากหน้านังน้าคุณนายของคุณ ไปให้พ้นจากไร่นี้”
       ทรรศนะลุกเดินโงนเงนมาจับอรสอางค์เหวี่ยงลงบนเตียง พลางชี้หน้า
       “ผมจะรอปิ่นอยู่ที่นี่ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวปิ่นกลับมาไม่เจอผม”
       อรสอางค์ลุกจากเตียง ทะยานมาเขย่าแขนทรรศนะเขย่าๆ “นังปิ่นมันตายไปแล้ว เมื่อไหร่นะจะยอมรับความจริงซะที มันตายไปแล้ว...”
       ทรรศนะขัดใจมองตาขวาง จู่ๆ ตบอรสอางค์เปรี้ยงจนร่างกระเด็นไป
       จิ๋วเข้ามาเห็นพอดีร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ “ว้าย...คุณหนู”
       จิ๋วพุ่งเข้าผลักทรรศนะกระเด็นไป ล้มลุกคลุกคลานที่พื้น จิ๋วรีบประคองอรสอางค์ออกไปอย่างเร็ว
       
       อรสอางค์ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่ในห้องนอนจิ๋ว ทุบตีหมอนไปมา
       จิ๋วหลบมาคุยโทรศัพท์หน้าเครียดพูดเบาๆ “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง จิ๋วเองค่ะ”
       เช้าวันรุ่งขึ้นครองสุขเอะใจเดินหาทัศนีย์ทั่วบ้าน “ยัยนี ทัศนีย์”
       เดินออกมาหน้าเรือนเจอคนงานกำลังทำสวนจึงร้องถาม “นี่แก เห็นคุณทัศนีย์บ้างหรือเปล่า”
       คนงานพูดพาประสาซื่อ “เห็นเคยเมามาตอนรุ่งสว่างเกือบทุกวัน แต่หลายวันมานี้ไม่เห็นเลยครับ”
       ครองสุขตวาด “ตอบว่าเห็นหรือไม่เห็นก็พอ ไอ้ที่ไม่ได้อยากฟังไม่ต้องพูด”
       คนงานรีบก้มหน้าทำงานต่อ ครองสุขหันกลับ เสี่ยตงเดินออกมาจากเรือน
       “ใครหายหรือ”
       ครองสุขหงุดหงิด “ยัยหลานตัวดีน่ะสิ ทุกทีมันต้องมาแบมือขอเงินแล้ว นี่ไม่โผล่หน้ามาเลย เสี่ยเห็นมันบ้างมั้ย...” ส่งสายตามองจ้องหน้าเสี่ยตงเป็นเชิงคาดคั้น
       “ไม่ต้องมามองฉันแบบนั้น ฉันไม่เคยยุ่งกับหลานคุณนายอีกตั้งแต่ได้คุณนายมาเป็นเมีย”
       ครองสุขเยาะ “เป็นอย่างงั้นก็ดี”
       เสี่ยตงรีบบอก “หลานคุณมันใจแตกอยู่แล้ว ป่านนี้อาจจะหนีไปกับฝรั่งตาน้ำข้าวในรีสอร์ตก็ได้ เงินหมดก็กลับมาเอง ไปห่วงมากทำไม แค่หลานไม่ใช่ลูกซะหน่อย”
       พูดจบเสี่ยตงก็เดินออกไป ครองสุขอึ้งๆ เจ็บจี๊ดในใจ
       
       เหตุการณ์ที่เหมืองเวลาเดียวกัน ปิ่นอนงค์กับทัศนีย์ทำงานถางพื้นที่รกเรื้อในสวนเกษตรอินทรีย์ท้ายเหมืองกันอยู่
       ทัศนีย์ถือมีดตัดหญ้าอยู่ตรงบริเวณที่โล่งหญ้าขึ้นรก ฟันๆ แบบไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ปากก็บ่นไป
       “โอ๊ย หญ้ารกขนาดนี้กว่าจะถางหมดคงตายซะก่อน”
       ปิ่นอนงค์ถางหญ้าอยู่อีกมุมห่างๆ ท่าทางทะมัดทะแมงฟันฉับๆ หญ้าหลุดติดมือ ตะโกนบอกอย่างหวังดี
       “คุณนีทำเท่าที่ทำไหวนะคะ ที่เหลือปิ่นลุยให้เอง”
       ทัศนีย์แว้ดใส่ “จะทำเก่งข่มฉันหรือไง”
       ปิ่นอนงค์อธิบาย “มันไม่ได้เกี่ยวกับความเก่งหรือไม่เก่งหรอกค่ะ แต่มันอยู่ที่ทำบ่อยหรือไม่เคยทำ ปิ่นทำงานในไร่จนชิน แต่คุณนีไม่เหมือนกัน”
       ทัศนีย์ขี้เกียจทำเลยแกล้งโมโหโยนมีดทิ้ง “ไม่เหมือนกันตรงที่เธอทำได้สารพัด แต่ฉันมันไร้ประโยชน์หยิบจับอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง แม้กระทั่งตัดไอ้หญ้าบ้าๆ นี่ ยังไม่มีปัญญา งั้นเธอก็ทำไปให้หมดคนเดียวแล้วกัน จะได้เรียกคะแนนสงสารจากคุณใหญ่เพิ่มขึ้น”
       ทัศนีย์หันหลังให้ปิ่นอนงค์แล้วยิ้มๆ ตั้งใจโยนงานให้ปิ่นอนงค์คนเดียว พึมพำคนเดียว
       “เราไม่เหมือนกันตรงที่ฉันฉลาดกว่าเธอ เรื่องอะไรจะทำเองให้เหนื่อย”
       ทัศนีย์กระหยิ่มก้าวเท้าไป เห็นงูเลื้อยมาขวางหน้าขู่ฟ่อง ทัศนีย์ชะงักตาเหลือกยืนตัวแข็ง ปากร้องลั่น
       “ช่วยด้วยปิ่น โอ๊ย!”
       ไม่ทันขาดคำงูฉกฟึ่บเข้าที่ขา ทัศนีย์ล้มลง งูเลื้อยหนีไปอย่างรวดเร็ว
       ปิ่นอนงค์ตกใจวิ่งมาหาทัศนีย์ทันควัน
       เห็นทัศนีย์จับขาร้องไห้ฟูมฟายเพราะกลัวตาย “งูกัด ฮือๆ ปิ่น ฉันยังไม่อยากตาย”
       ทัศนีย์สติแตก “โอ๊ย ขาฉัน”มันชาไปหมดแล้ว ฉันจะตายมั้ย จะตายมั้ย”
       ปิ่นอนงค์ปลอบ ตั้งสติ “ใจเย็นๆ ไว้ค่ะ อยู่นิ่งๆ”
       ปิ่นอนงค์มองหาเชือก เห็นผ้าผูกผมบนหัวทัศนีย์ ปิ่นอนงค์ดึงมารัดเหนือแผลรอยเขวี้ยวแน่นๆ จนทัศนีย์ร้องลั่น
       ปิ่นอนงค์มองจ้องหน้าทัศนีย์ ที่หน้าซีด ปากสั่นอาการกำลังแย่ ไวเท่าความคิดปิ่นอนงค์ตัดสินใจก้มดูดพิษที่ข้อเท้า แล้วบ้วนทิ้ง 2 ครั้ง อย่างไม่รังเกียจ
       ทัศนีย์ตะลึงมองปิ่นอนงค์อย่างไม่อยากเชื่อสาตา ภาพที่ทัศนีย์เคยร้ายใส่ปิ่นอนงค์ผ่านเข้ามาเป็นฉากๆ ราวสายน้ำไหล
       
       ทุกช่วงทุกตอนที่ทัศนีย์เคยตบตีปิ่นอนงค์อย่างรุนแรงและเกรี้ยวกราด

--------------------------------------------------------------


 ทัศนีย์ดึงตัวเองกลับมา จ้องปิ่นอนงค์เขม็ง ปิ่นอนงค์ยังไม่หยุดดูดพิษงู 
       
       มองภาพตรงหน้าทัศนีย์ยิ่งสะท้อนใจ หญิงสาววีนเหวี่ยงเอาแต่ใจตัวเอง ได้พ่ายแพ้ต่อน้ำใจแสนงดงามของปิ่นอนงค์แล้ว
       ทัศนีย์สะอื้นออกมา ร้องไห้จนตัวโยน รู้สึกผิดที่ร้ายกาจกับปิ่นอนงค์มาโดยตลอด
       สักครู่หนึ่งทัศนีย์เริ่มเบลอ ตาพร่ามัวมองปิ่นอนงค์ไม่ชัดแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวที่พื้นหญ้าหมดสติไปทันที
       “คุณนี”
       ปานเทพตกใจวิ่งเข้ามาดูทัศนีย์ “ทัศนีย์เป็นอะไร”
       ปิ่นอนงค์บอกอย่างร้อนใจ “งูกัดค่ะ ปิ่นดูดพิษให้แล้ว รีบพาไปหาหมอเถอะค่ะ”
       ปานเทพลงช้อนร่างทัศนีย์ขึ้นมาอย่างเร็วรี่
       
       ใหญ่ตกใจสุดขีดฟังที่เปี๊ยกยกไม้ยกมือบอก “ปิ่นโดนงูกัดหรือ ฉันให้แกคอยเฝ้าดู แกดูภาษาอะไร”
       อารามตกใจใหญ่รีบวิ่งไปที่กระท่อมท้ายเหมืองทันที เปี๊ยกงงทำมือทำไม้วุ่นวายว่า...ไม่ใช่ปิ่นอนงค์
       
       ปิ่นอนงค์เดินกระเผลกๆ มา แล้วเดินต่อไม่ไหวนั่งยองๆ ขยำๆ นวดที่ข้อเท้าตน
       ใหญ่วิ่งมาถึงเห็นปิ่นอนงค์จับที่ข้อเท้านึกว่าโดนงูกัด
       “อู๊ย!” ปิ่นอนงค์ร้องออกมาเพราะปวดขาผสมเหนื่อยล้า
       ใหญ่รีบเข้าไปจับขาปิ่นอนงค์ “โดนตรงไหน”
       ปิ่นอนงค์ทำเป็นไม่เจ็บ ดึงมือใหญ่ออก “ขา แต่ไม่เจ็บ ช่วยหลีกหน่อยค่ะ”
       “อยากตายหรือไง โดนงูกัดยังมาทำหยิ่งยโสใส่ฉันอีก”
       ใหญ่ตะคอกรีบอุ้มปิ่นอนงค์จนตัวลอย “ต้องรีบไปให้ถึงมือหมอก่อนพิษเข้าสู่หัวใจ”
       ใหญ่ทำท่าจะอุ้มปิ่นอนงค์เดินไป
       “คุณนีต่างหากที่โดนงูกัด ไม่ใช่ปิ่น ปิ่นแค่ปวดขาเพราะนั่งยองๆ ถางหญ้านานไปหน่อย กรุณาวางปิ่นลงด้วย”
       ใหญ่หน้าแตกเพล้ง หน้าตาเหลอหลา วางปิ่นอนงค์ลง โวยวายเปี๊ยกกลบเกลื่อน
       “แค่ปวดขา ก็ไอ้เปี๊ยกมันพูดมั่ว”
       ปิ่นอนงค์เหน็บ “พี่เปี๊ยกพูดมั่ว หรือคุณใหญ่ฟังไม่ได้ศัพท์”
       ปิ่นอนงค์เดินหนี ใหญ่ฉุนคว้าแขนไว้ “เธอกล้าด่าฉันหรือ อย่าลืมว่าเธอเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือฉัน ฉันจะบีบเธอให้แหลกคามือเมื่อไหร่ วันไหนก็ได้”
       ใหญ่กำข้อมือแน่นปิ่นอนงค์ ไม่กลัว แถมท้าทายอีกต่างหาก “อย่าขู่ ขอให้ช่วยทำจริงๆ เพราะตั้งแต่แม่ปิ่นตาย ปิ่นก็ไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่ออะไร เพื่อใครอีก หลับไปวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นมาพบกับเรื่องร้ายๆ อีก ยิ่งดี”
       ใหญ่ขัดใจ ตะคอกใส่หน้า “ปิ่นอนงค์ หยุดท้าทายฉัน”
       ปิ่นอนงค์มองหาอาวุธ เห็นมีดพร้าวางอยู่บนแคร่หน้ากระท่อม รีบปรี่ไปหยิบ แล้วเดินกลับมายื่นให้ใหญ่
       “อยากฟันแขน ฟันขา หรือแทงที่หัวใจ ก็ระบายอารมณ์มาได้เลย ตามสบาย จะได้หมดหนี้ต่อกันสักที”
       ใหญ่ตวาดลั่น “บอกให้หยุดท้า”
       ปิ่นอนงค์โยนมีดพร้าทิ้ง “หรือถ้าไม่ชอบวิธีนี้เพราะมันตายเร็วไป ก็จับปิ่นกดน้ำเหมือนที่เคยทำกับแม่ปิ่น มาสิคะ ไปที่บึงน้ำกัน”
       ว่าแล้วปิ่นอนงค์คว้าข้อมือใหญ่จะไป แต่ใหญ่ดึงปิ่นอนงค์เข้ามากอด
       “หยุดปั่นหัวฉันได้แล้ว มันไม่สำเร็จหรอกปิ่นอนงค์ ทำเป็นอยากตาย คิดจะให้ฉันเชื่อว่าเธอสำนึกผิดแล้วพอฉันเคลิ้ม ก็แอบแทงข้างหลังฉันเหมือนทุกครั้ง”
       ใหญ่ผลักปิ่นอนงค์เซถอยหลังไป “เธอมันก็ไม่ต่างอะไรกับงูเห่า”
       ปิ่นอนงค์ไม่สะท้าน สีหน้าเรียบเฉย ย้อนกลับ “งั้นคุณใหญ่ก็เป็นชาวนาสิคะ สุดท้ายก็ถูกงูเห่ากัดตาย”
       จากนั้นปิ่นอนงค์ก็เดินหนีเข้ากระท่อมใหญ่ด่าไล่หลัง
       “เธอนี่มันร้ายยิ่งกว่าคุณนายครองสุขเสียอีก”
       
       เวลาผ่านไป ที่ห้องตรวจคนไข้ ในสถานีอนามัย ปานเทพหน้าตาบึ้งตึงเข็นรถเข้ามาจอดที่ปลายเตียง ทัศนีย์นั่งห้อยขาบนเตียง เตรียมตัวกลับ
       “หมอให้กลับบ้านได้แล้ว”
       ปานเทพจะเข้าไปอุ้ม ทัศนีย์ร้องโวยวายด้วยความกลัว
       “อ๊าย ไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉันเดินไปที่รถเข็นเองได้”
       เลยถูกปานเทพดุ “จะเดินได้ยังไง แผลยังอักเสบอยู่”
       “ก็ยังเจ็บน้อยกว่าโดนนายอุ้มไปโยนบนรถเข็นแล้วกัน”
       ปานเทพอมยิ้มนิดๆ แล้วตีหน้าดุเหมือนเดิม พร้อมกับช้อนร่างทัศนีย์แล้วไปวางบนรถเข็นอย่างเบามือ นุ่มนวล
       ทัศนีย์มองหน้างุนงง ปานเทพทำไม่รู้ไม่ชี้เข็นรถพาทัศนีย์ออกจากห้องไป
       
       ปานเทพเคลิ้มได้ชิดใกล้ทัศนีย์ตามเสียงหัวใจเรียกร้อง อุ้มทัศนีย์ขึ้นนั่งบนเบาะรถ นอกจากนี้ช่วยยกขาข้างที่เจ็บค่อยๆ วางลงบนพื้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย
       ทั้งคู่มองหน้ากันนิดหนึ่ง ตาประสานตาทัศนีย์ถามงงๆ
       “นายไม่โกรธฉันแล้วหรือ ถึงได้ทำดีกับฉัน”
       นั่นแหละปานเทพจึงได้สติรีบเดินไปขึ้นรถด้านคนขับ ทำฟอร์มเสียงดุมาดเข้มตามเดิม
       “ผู้หญิงอย่างเธอเนี่ยโดนหลอกง่ายนะ แค่ผู้ชายเค้าทำดีนิดๆหน่อยๆ ก็เพ้อไปว่าเขาช่างแสนดี เป็นสุภาพบุรุษในฝัน ฉันจะบอกให้เอาบุญ ผู้ชายมันก็ทำเป็นเรื่องปกติ เพราะถูกสอนว่าผู้หญิงอ่อนแอ ต้องให้ผู้ชายอกสามศอกอย่างเราคอยช่วย
       ทัศนีย์จ๋อยปนเซ็ง “พอแล้ว ถามนิดเดียว ร่ายซะยาว”
       “คนสมองน้อยอย่างเธอมันต้องพูดยาวๆถึงจะเข้าใจ เดี๋ยวจะคิดว่าฉันพิศวาสเธอ”
       ปานเทพปากไม่ตรงกับใจขับรถทะยานไป
       
       ในขณะที่รถกำลังวิ่งไปบนถนน ทัศนีย์มองหน้าปานเทพแล้วเอ่ยขึ้น
       “นายเป็นคนดีหรือเป็นคนเลวกันแน่”
       “เธอบาดเจ็บในขณะทำงาน ฉันเป็นเจ้านายก็ต้องดูแลเธอตามกฎหมายแรงงาน จะสงสัยอะไรนักหนา”
       พลัน ทัศนีย์ก็นึกไปถึงปิ่นอนงค์ที่ช่วยชีวิตตนไว้ ทัศนีย์เสียงอ่อย พูดอย่างปลงๆ
       “ฉันก็แค่อยากมองคนในแง่ดีบ้าง บางทีคนที่เราเกลียด เขาอาจไม่ได้เกลียดอะไรเราเลย มีแต่เราที่คิดบ้าบอไปเอง”
       ปานเทพงงคิดในใจว่าวันนี้ทัศนีย์มาแปลก
       “ฉันว่าเธอโดนงูกัดบ่อยๆ ก็ดีนะ ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ”
       
       พูดดีๆ ด้วยแต่กลับถูกด่า ทัศนีย์หน้างอ ปานเทพจ้องถนนเบื้องหน้า ทำทีเป็นไม่สนใจ

--------------------------------------------------------------------------


ความหวังดีของจิ๋วกำลังจะย้อนมาทำร้ายอรสอางค์ เมื่อคุณหญิงปรางทิพย์ผู้เป็นแม่ รีบเดินทางมาที่ไร่ไพศาลอย่างร้อนใจ พอมาถึงก็เดินเข้าไปในเรือนใหญ่ทันที เห็นเสี่ยตงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เสี่ยตงเงยหน้ามอง
       
       “มาหาใครหรือครับ”
       ปรางทิพย์ยังคงหยิ่งเชิด “คุณทรรศนะเจ้าของไร่ไพศาลอยู่หรือเปล่า”
       เสี่ยตงลุกยืนท่าทางยียวน “สงสัยยังเมาค้างอยู่ คุยกับผมก็ได้ครับ ผมเป็นสามีของคุณนายครองสุขผู้ดูแลมรดกของไร่นี้”
       ปรางทิพย์มองด้วยสายตาแปลกใจ “ฉันคุณหญิงปรางทิพย์แม่ของคุณอรสอางค์”
       เสี่ยตงตาโต รีบพินอบพิเทา “ภริยาของท่านปลัดอุทัยหรือครับ โอ๊ย ตายๆ ผมมีตาแต่ไร้แววระดับคุณหญิงมาถึงนี่ไม่ทันได้ต้อนรับ เชิญนั่งครับเชิญ”
       ปรางทิพย์เดินมานั่งวางมาดผู้ดี เสี่ยตงเข้าใจผิด “ท่านให้คุณหญิงมาตกลงกับผมเรื่องประมูลสัมปทานใช่มั้ยครับ คุณหญิงเขียนตัวเลขมาได้เลย ผมจะเซ็นเช็คให้ทันที”
       ปรางทิพย์มองหน้าเสี่ยตงงงๆ “สามีฉันลาออกแล้ว เพราะเงินสกปรกพวกนี้ มันถึงได้ย้อนกลับมาเล่นงานเราจนหมดเนื้อหมดตัว ไม่เหลือแม้แต่ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล”
       คุณหญิงปรางทิพย์ไม่พอใจลุกยืน เสี่ยตงยังช็อกอยู่
       “ฉันอยากพบลูกสาวฉัน”
       เสี่ยตงได้สติ ลุกพรวดคว้ามือปรางทิพย์หมับ “ว่าไงนะ ท่านไม่ได้เป็นปลัดแล้วหรือ อะไรกันวะ”
       ปรางทิพย์ตกใจสะบัดมือ “นี่ รักษามารยาทหน่อยนะคุณ”
       เสียงอรสอางค์ร้องขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณแม่!” สองคนหันไปตามเสียง
       อรสอางค์เดินมากับจิ๋วหน้าตาตื่น ในมือจิ๋วถือร่มมาด้วยกำลังจะไปข้างนอก
       “คุณแม่มาได้ยังไงคะ ทำไมไม่โทรบอกกันก่อน”
       เสี่ยตงโกรธจัดพุ่งเข้าหาอรสอางค์ อย่างเอาเรื่อง “มึงหลอกกู นังอรสอางค์”
       ปรางทิพย์ตกใจร้องกรี๊ด ห่วงลูกสาว เสี่ยตงจิกผมอรสอางค์เงื้อมือจะตบ จิ๋ววิ่งเข้าขวาง เงื้อร่มสู้
       “อย่านะคะ ถ้ากล้าแตะคุณหนูได้เห็นดีกัน และถ้าเสี่ยทำร้ายดิฉันบาดเจ็บ ดิฉันจะแจ้งความว่าเสี่ยทำร้ายคนแก่”
       ปรางทิพย์ปรี่มายืนคู่กับจิ๋วบังอรสอางค์อีกคน “ไม่ใช่คนเดียว คนแก่ถึงสองคน”
       เสี่ยตงโกรธจัดตัวสั่น ไม่กล้าตบ ลดมือลง ชี้หน้าอรสอางค์คาดโทษ
       “เรื่องที่แกหลอกฉัน ไม่จบง่ายๆหรอก อีพวกผู้ดีจอมปลอม”
       เสี่ยตงเดินหนีไป ปรางทิพย์รีบหันมาหาอรสอางค์ “ไปโกหกอะไรเขา”
       อรสอางค์ไม่ตอบ รีบดึงมือแม่ออกไป “เราต้องคุยกันค่ะ”
       
       สามคนอยู่ที่หน้าเรือนใหญ่ อรสอางค์ดึงแม่มาที่รถของไร่ “อรจะให้พี่จิ๋วไปส่งแม่ที่คิวรถในเมือง เรื่องเงินอรจะรีบโอนไปให้ สองหมื่นพอมั้ย อรจะขอนะให้”
       คุณหญิงปรางทิพย์ฟังเรื่องราวหมดแล้วรู้สึกเสียใจกุมมืออรสอางค์
       “แม่มาที่นี่ ไม่ได้อยากได้เงิน จำบ้านสวนในเมืองนนท์ของคุณยายที่ยกให้แม่ก่อนท่านสิ้นได้มั้ย มันเป็นบ้านติดกันสองหลัง แม่ก็เลยแบ่งให้เช่าไปหลังหนึ่ง ใช้ประหยัดหน่อยก็พออยู่พอกิน”
       จิ๋วชื่นชมนายผู้ดี “คุณผู้หญิงหน้าตาดูสดใสขึ้นเยอะเลยค่ะ”
       ปรางทิพย์บอกจิ๋ว “เพราะมีความสุขกว่าแต่ก่อน สองตายายมีเวลาเหลือเฟือได้นั่งคุยกันทั้งวัน” ยิ้มแย้ม “ช่วยกันเพาะกล้วยไม้อย่างที่พ่อเขาชอบ” คุณหญิงหันมาทางลูกสาว “โรคความดันของพ่อก็ดีขึ้น พ่อเขาบ่นคิดถึงอรทุกวันนะ แม่อยากให้อรกลับบ้านเรา”
       อรสอางค์บอกผู้เป็นแม่ “ฝากบอกคุณพ่อด้วยค่ะ ว่าอรสบายดี”
       “สบายที่กาย แต่ในใจเป็นทุกข์ ไม่ได้เรียกว่าสบายจริงนะลูก”
       อรสอางค์มองจิ๋ว รู้ทันทีว่าจิ๋วฟ้องแม่เรื่องทรรศนะ จิ๋วหลบตา ปรางทิพย์ระบายต่อ
       “แม่เป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง สอนลูกให้เลือกผู้ชายโดยเอาเงินเป็นตัวตั้ง ผลลัพธ์มันถึงออกมาแบบนี้”
       “ไม่เกี่ยวกับเงินค่ะ อรก็อยากเหมือนพ่อกับแม่ตอนนี้ มีความสุขด้วยกัน จะยากดีมีจน ก็ไม่ทิ้งกัน ได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน อรจะไม่เลิกกับนะค่ะ อรตัดสินใจแล้ว”
       ด้วยความอัดอั้น อรสอางค์ร้องไห้น้ำตาไหลพรากคุณหญิงปรางทิพย์สะท้อนในอก
       “โถ ลูกแม่ เวรกรรมจริงๆ”
       ปรางทิพย์สวมกอดลูก ร้องไห้ด้วยกัน
       
       เวลาเดียวกันครองสุขโดนเสี่ยตงตบถลาล้มไปที่เตียง เสี่ยตงชี้หน้าด่า โกรธจนเปลี่ยนสรรพนาม “เธอกล้ามากนะที่รวมหัวกันหลอกฉัน ถึงจะเป็นผัวเป็นเมียกันแล้วก็เถอะ ฉันก็ฆ่าเธอได้”
       ครองสุขรีบลุก คลานไปกอดขาเสี่ย “เสี่ยขา อย่าโกรธเมียเลยนะ เมียจำเป็นเพราะตอนนั้นเมียโดนไอ้ปลอดมันไล่ฆ่า เมียคิดอะไรไม่ออก ก็เลยพูดๆ ไปไม่ทันได้คิด เสี่ยยกโทษให้ฉันด้วยนะ”
       เสี่ยตงดึงครองสุขลุกยืนมองจ้องหน้า “เธอมันพิษสงรอบตัว อย่าคิดว่าฉันจะให้เธอจูงจมูกได้ง่ายๆ ที่ยังอยู่กับเธอทุกวันนี้ก็เพราะรอส่วนแบ่งมรดก ไม่ได้รักไม่ได้หลงอีแก่แร้งทึ้งอย่างเธอ”
       เสี่ยตงผลักครองสุขล้มไปที่พื้น ทรรศนะผลักประตูเข้ามาเห็นพอดี
       “แกทำอะไรคุณน้า”
       ทรรศนะทำกร่างเงื้อมือจะชก เสี่ยตงชกเข้าท้องก่อน ทรรศนะจุกตัวงอ เสี่ยตงเตะทรรศนะอีกสองที
       จนทรรศนะหมอบ เสี่ยตงจะเข้าไปซ้ำ
       “ตานะ”
       ครองสุขถลาเข้าไปหา เอาตัวเองบังทรรศนะ “ตานะสุขภาพไม่ค่อยดี ฉันขอเถอะนะ”
       เสี่ยตงชี้หน้าทรรศนะ “ฉันเป็นผัวน้าแก ต้องรู้จักหัดนับถือกันบ้าง อย่าริอาจมาเทียบรุ่นกับเฮีย จำไว้ ไอ้แหย”
       เสี่ยตงเดินโมโหออกไปครองสุขรีบประคองลูกชายสงสารจับใจ
       “เจ็บมากมั้ยลูก”
       
       ทรรศนะเดินกุมท้องออกมาสวนหลังเรือนใหญ่ ดูท่าทางหงุดหงิด มีเสียงครองสุขเรียกมาตามหลัง
       “ตานะ”
       ครองสุขตามออกมา “นะยังเจ็บอยู่ มาให้น้าใส่ยาก่อนนะจ๊ะ”
       ทรรศนะหันกลับมา สะบัดเสียงใส่ด้วยความโมโห “ทำไมคุณน้าไม่ไล่มันออกจากไร่ไปซะ ปล่อยให้มันเหยียบย่ำเราอย่างนี้ได้ยังไง”
       “เสี่ยตงมันไม่ใช่นักเลงกระจอก มันมีอิทธิพลกว้างขวาง ถ้าไปงัดข้อกับมันตรงๆ กระดูกบางๆอย่างเราจะเป็นฝ่ายแย่”
       “ต้องทนรออีกแล้วใช่มั้ยครับ” ทรรศนะเยาะ
       “นะก็ดื่มลดๆ ลงหน่อยสิจ๊ะ จะได้คอยช่วยงานน้า น้าไม่มีใครเลยที่ไว้วางใจได้ คนอื่นมันก็ดีแต่จ้องหาผลประโยชน์”
       ทรรศนะก้มหน้าเศร้า “ผมไม่มีกำลังใจจะทำอะไร มันเบื่อหน่ายไปหมด”
       ครองสุขเดินมาจับบ่าสองข้างให้ทรรศนะเงยหน้า “โธ่ ป่านนี้นังปิ่นอนงค์คงไปเกิดใหม่แล้ว ลืมมันไปซะ ความรักมันก็แค่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจประเดี๋ยวประด๋าว แต่เงินสิมันจีรังยั่งยืนทำให้นะมีความสุขไปทั้งชาติ”
       ทรรศนะนิ่งคิดคล้ายจะคล้อยตามครองสุข “แล้วตอนนี้คุณน้ามีความสุขหรือเปล่า เมื่อกี้คุณน้าบอกผมว่าคุณน้าไม่มีใครที่ไว้ใจได้สักคน นี่หรือครับสิ่งที่คุณน้าเรียกมันว่า ความสุข”
       ครองสุขอึ้งตอบไม่ถูก 
       
       ปานเทพพาทัศนีย์มาพักฟื้นที่ห้องในเรือนคนงาน เวลานั้นทัศนีย์นั่งอยู่มีปิ่นอนงค์ทายาให้ที่แผล “ถ้าเจ็บบอกนะคะ”
       เห็นปิ่นอนงค์ทำดีกับตัวเอง ทัศนีย์ยิ่งรู้สึกผิด จนอดรนทนไม่ไหว พูดพร่ำออกมา
       “ฉันเคยเอากระเป๋าตบหน้าเธอ ฉันเคยแกล้งขัดขาเธอให้กลิ้งตกบันไดโรงเรียน ฉันเคยขโมยเงินคุณลุงไพศาลไปเที่ยว แล้วโยนความผิดว่าเธอเป็นคนขโมย ฉันเคย...”
       ปิ่นอนงค์ขัดขึ้น “คุณนี พอเถอะค่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว”
       ทัศนีย์พูดต่อ “ฉันยังใส่ร้ายเธอสารพัดว่าเธอร่านผู้ชาย คบชู้กับพี่นะ มีอะไรกับไอ้จอม ฉันทำทุกอย่างเพื่อจะแย่งคุณใหญ่ทำไมเธอไม่แค้นฉัน แต่กลับช่วยชีวิตฉันไว้”
       ปิ่นอนงค์มองหน้าทัศนีย์ “ปิ่นแค้นค่ะ แต่ปิ่นโดนรังแกทุกวัน ให้แค้นทุกวันก็ไม่ไหวเคยได้ยินมั้ยคะ มันเจ็บจนชิน พอชินก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไป”
       “ฉันเคยสะใจเวลาที่ได้แกล้งเธอ แต่ตอนนี้ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยรู้สึกว่าตัวเองแย่มาก เป็นคนที่น่าทุเรศมาก”
       ทัศนีย์ร้องไห้โฮ ปิ่นอนงค์จับมือทัศนีย์พูดปลอบใจ “ปิ่นให้อภัยทั้งหมด ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว”
       ปิ่นอนงค์ยิ่งดี ทัศนีย์ยิ่งร้องไห้ใหญ่ “ไม่คิดได้ยังไง คนที่ฆ่าป้าอุ่น คือแม่ของฉันเอง จะให้ฉันตีหน้าทำเป็นไม่รู้เรื่อง ฉันทำไม่ไหวแล้วปิ่น”
       ปิ่นอนงค์ตกใจสองเด้ง “แม่!”
       
       เวลาต่อมา สองคนพากันมาอยู่ที่ริมน้ำใกล้กระท่อม ปิ่นอนงค์นั่งสะอึกสะอื้นร้องไห้สะเทือนใจกับชะตากรรมของแม่ผูอาภัพ
       “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ตอนที่แม่ถูกทำร้ายแม่คงเสียใจมาก”
       ทัศนีย์ยืนมองมีไม้เท้าพยุงตัว “เธอคงไม่ให้อภัยฉัน เพราะฉันเป็นลูกเขาใช่มั้ย”
       ปิ่นอนงค์ลุกยืนยกมือปาดน้ำตา “กฎแห่งกรรมมีจริงค่ะ ใครทำ คนนั้นก็รับไป คุณนีอย่าเอามาเป็นความผิดของตัวเอง เพราะสิ่งที่คุณนีต้องเผชิญมามันหนักหนาเกินพอแล้ว”
       ทัศนีย์เริ่มร้องไห้ “คุณน้ากลัวคุณลุงไพศาลรู้ว่าแต่งงานแล้ว เลยบังคับให้ทัศนีย์เรียกน้า ไม่ให้เรียกแม่ นีเคยเผลอเรียก ก็โดนตีเอาเจ็บๆ”
       ปิ่นอนงค์เดินมาหาทัศนีย์เข้าใจและสงสาร “ที่เที่ยวทุกคืนเพราะต้องการลงโทษคุณนายใช่มั้ยคะ”
       ทัศนีย์ก้มหน้า พยักหน้าร่ำไห้ “ให้อภัยท่านนะคะ ต่อให้ใครด่าแม่เราว่าเป็นคนเลว เป็นคนไม่ดี แต่เราว่าแม่ไม่ได้ เราแค่ทำหน้าที่ของลูกที่ดีก็พอ”
       ทัศนีย์อารมณ์มาเป็นริ้วๆ แล้วพีคสุดๆ สวมกอดปิ่นอนงค์ร้องไห้ไม่หยุด
       “ปิ่น ขอบใจนะ ขอบใจ”
       “ปิ่นต่างหากต้องขอบใจคุณนี ที่ทำให้ปิ่นตาสว่าง”
       
       ปิ่นอนงค์นึกถึงใหญ่ขึ้นมาทันที 

------------------------------------------------------


 เช้าวันต่อมา ครองสุขขับรถเก๋งเข้ามาจอดในไร่ ตรงจุดที่มีต้นไม้ใหญ่บัง เป็นมุมที่คนมองไม่เห็น ครองสุขยิ้มระรื่นหยิบกระเป๋าดึงเงินออกมาหอมชื่นใจ
       
       “วันนี้ดวงดีชะมัด เล่นได้เงินมาเป็นฟ่อน”
       ครองสุขเปิดประตูลงมา แต่โดนมือของเจิดปิดปาก ครองสุขดิ้น ก้านเข้ามาชกท้อง ครองสุขจุกตัวงอ
       เจิดกับก้านรีบลากครองสุขไป
       
       เจิดและก้านลากครองสุขเข้ามาในเรือนเพาะชำต้นกล้าในไร่ เจิดดึงครองสุขไป ก้านรีบปิดประตู
       ครองสุขกัดมือเจิดแล้วผลักจนกระเด็น ครองสุขหันกลับจะหนี
       ธีระโผล่มายืนขวางหน้า เงื้อมือตบหน้าครองสุขเต็มแรง ร่างถลาล้มไปกองที่พื้น
       “ธีระ!” ครองสุขคาดไม่ถึง
       เจิดกับก้าน เดินมายืนขนาบคนละข้างของธีระ
       “แปลกใจหรือพี่ครองสุข ที่เราสามคนมารวมกันได้”
       ครองสุขรีบใช้มารยาล่อหลอก พูดอ้อนคำหวาน “ฉันดีใจที่ได้เจอพวกเธออีกต่างหากล่ะ คนเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาจริงมั้ย”
       ธีระตะคอก “ร่วมทุกข์หรือ ผมจำได้แต่พี่มีความสุขแล้วเขี่ยผมทิ้งมากกว่า แต่ผมยังโชคดีที่เจอลูกน้องเก่าช่วยพาไปรักษาตัวจนได้กลับมาล้างแค้นคนที่มันเคยทำกับผมไว้”
       เจิดก้านจับครองสุขลุกยืนตรงหน้าธีระ
       “อย่าเข้าใจพี่ผิดนะ พี่ถูกไอ้เสี่ยมันบังคับ ถ้าไม่ยอมเป็นเมียมัน มันจะฆ่าตานะกับยัยนี พี่ห่วงลูก” ครองสุขอ้อน
       “แล้วผมล่ะ ไม่ห่วงผมเลยหรือ” ธีระตอกหน้า
       ครองสุขตัดบท “เอาอย่างนี้นะ พี่จะชดเชยเงินให้เธอ เอาไปให้หมดนี่เลย”
       ธีระแย่งกระเป๋าถือมาเปิดดูดึงเงินออกมา “แค่นี้ไม่พอแบ่งสามคนหรอก” ธีระบอก
       “แล้วเธอต้องการเท่าไหร่”
       ธีระนิ่งคิด
       
       ครองสุขเดินหน้าตื่นออกมาที่หน้าเรือนเพราะชำ เจอจินตนาหิ้วกระเป๋าฉีดยาเดินผ่านมาพอดี
       จินตนาแปลกใจหยุดมอง ครองสุขสะดุ้ง เหลือบมองไปด้านหลัง
       พวกธีระรีบยืนหลบไม่ให้จินตนาเห็น ครองสุขรีบปิดประตูเดินไปหาจินตนา
       “เห็นไร่ฉันเป็นสวนสาธารณะหรือไง ถึงเดินเข้าออกได้ตามใจชอบ”
       “ถึงกำหนดวันที่ต้องฉีดยาให้วัวค่ะ ถ้าไม่เห็นแก่สัตว์ตาดำๆ ก็ไม่อยากมา” จินตนาเหน็บ
       ครองสุขฉุนกึก “ต่อไปไม่ต้องมา ฉันจะจ้างคนอื่นแทน”
       จินตนาตอกหน้าหงาย “ไม่ต้องสั่ง เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะมาเหยียบที่นี่”
       จินตนาเดินหนีไป ครองสุขรีบเหลียวมองไปที่เรือนเพาะชำ เจิดแง้มประตูโผล่หน้ามองว่าปลอดภัยแล้ว
       
       จินตนาหิ้วกระเป๋าฉีดยาเดินผ่านมาหน้าห้องพักที่รีสอร์ตหลังหนึ่ง มองห้องพัก นึกถึงวันที่เคยทะเลาะกับปานเทพ
       ขณะนั้นปานเทพบิดเอวจินให้หงายท่าสวยๆ ไปด้านหลัง คล้ายกำลังเต้นรำ
       จินตนาหายใจแรงมองหน้าปานเทพที่โน้มก้มลงมาหา จินตนาเคลิ้ม แล้วร้องกรี๊ดผลักปานเทพออก
       “ไอ้หน้าหื่น นี่แน่ะ”
       จินตนายกเข่ากระแทกเข้าที่เป้ากางเกงปานเทพตาเหลือกร้องลั่น “โอ๊ย!”
       
       จินตนาดึงตัวเองกลับ ยิ้มออกมานึกขำปานเทพ เสียงจอมดังแทรกเข้ามา “คุณจิน”
       จินตนาสะดุ้งหันไป เห็นจอมยืนมองอยู่ จินตนาปั้นปึ่งเดินหนี จอมเดินตาม
       “ยังโกรธเราเรื่องวันก่อนหรือ เราขอโทษนะ”
       จินตนาไม่ยอมหยุดเดิน “เราต้องรีบไปฉีดยาให้แม่มะลิ”
       จอมอาสา “เราช่วย”
       จอมจะดึงกระเป๋ายามาถือให้จินตนาตวาด “ไม่ต้อง”
       “ขอร้องล่ะ ช่วยเข้าใจเราหน่อยเถอะ”
       “เพราะความดื้อของนาย ที่ดึงดันอยากให้ปิ่นอยู่กับไอ้พวกเสือสิงกระทิงแรด ชีวิตปิ่นถึงต้องจบลงแบบนี้ บอกตรงๆ ถึงวันนี้เราก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ว่า ปิ่นตายไปแล้ว”
       จอมจ๋อย “แล้วคุณจินคิดว่าเราทำใจได้งั้นหรือ ความจริงเราก็อยากลาออก แต่ที่เราต้องอยู่ เพราะไอ้ปานเพื่อนของไอ้ใหญ่มันยังอยู่ มันต้องมีส่วนในการตายของปิ่น”
       จินตนามองจอมอย่างสมเพช “นายโดนล้างสมองไปแล้ว โทษคนนั้นคนนี้มั่วไปหมดที่ลุงหวินหายไป คงทนดูลูกตัวเองทำผิดไม่ได้ ขนาดเรายังไม่อยากเห็นหน้านายเลย”
       จินตนาเดินหนี จอมตามไม่ลดละ “ปิ่นก็ตาย พ่อก็ไม่ให้อภัย เราเหลือแค่คุณจินเป็นเพื่อนเท่านั้น”
       จอมตามมาจนทันจับมือจินตนาไว้ “ใจคอจะเลิกคบเราอีกคนงั้นหรือ”
       จินตนาพูดใส่หน้า “ตราบใดที่นายยังเข้าข้างคนชั่ว แม้แต่วิญญาณปิ่นก็ไม่มีทางให้อภัย”
       ว่าแล้วจินตนาดึงมือออก เดินห่างไป จอมใบหน้าหมองเศร้า
       
       เพ็ญนั่งตรงหน้าปลอดในห้องเยี่ยมผู้ต้องหาบนโรงพัก มีอาจารย์ทนายนั่งข้างๆ ตำรวจอีกคนยืนคุมอยู่ห่างๆ
       “คุณใหญ่ปลอดภัยดีจ้ะพี่ ส่วนนายปานช่วงนี้เขาเหนื่อยมากเพราะต้องหาช่องทางกฎหมายช่วยเหลือพี่ออกมาให้ได้”
       “บอกมันไม่ต้องห่วงทางนี้ ให้มันคอยคุ้มครองญาติสนิทของมันให้ดี” ปลอดหมายถึงใหญ่
       เพ็ญเหลือบมองตำรวจแล้วพยักหน้า “แล้วไอ้พงษ์ล่ะ ไม่เห็นมันโผล่หัวมาบ้าง”
       เพ็ญหน้าเสีย ไม่กล้าบอกว่าพงษ์ตายแล้ว “ว่าไง ทำไมเงียบไป มันเป็นอะไรหรือเปล่า
       
       กลับมาถึงบ้านเพ็ญเอาแต่นั่งซึม ใหญ่เอื้อมมือไปปลอบ เพ็ญระบายออกมา
       “ถ้าพี่ปลอดรู้ว่านายพงษ์ตาย แถมเหมืองก็โดนสั่งปิด ต้องแหกคุกออกมาแน่ๆ น้าเลยต้องโกหกว่านายพงษ์สบายดี”
       “ครูคนแรกที่สอนวิชาหมัดมวยให้ผมก็คือพี่พงษ์ ผมจะไม่ยอมให้พี่พงษ์ตายฟรี” ใหญ่พูดจริงจัง
       เพ็ญเดินไปที่ชั้นโชว์ มองกรอบรูป เป็นรูปปลอดกอดคอปานเทพกับใหญ่ มีพงษ์ยืนยิ้มเหนียมๆ อยู่ข้างๆ
       “ ครอบครัวของนายพงษ์ถูกโจรดักปล้นกลางถนน พี่ปลอดไปพบเข้าพอดีก็เลยช่วยชีวิตนายพงษ์ไว้ได้ พากันมาเป็นคนงานที่เหมืองของนายหัวอมร พี่ปลอดสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ ก็มีนายพงษ์นี่แหละคอยเป็นกำลังสำคัญ”
       ใหญ่ลุกยืน แค้นขึ้นมาอีก เดินออกจากบ้านทันที เพ็ญตกใจอาการของใหญ่
       “คุณใหญ่ จะไปไหนคะ”
       
       ทัศนีย์กลับมากระท่อมท้ายเหมือง นุ่งผ้าถุงกระโจมอกตักน้ำจากตุ่มข้างกระท่อมราดตัว อากาศหนาวเย็นจนสะท้านไปทั้งกาย ทัศนีย์เต้นเหยงๆ
       “อู๊ย หนาวๆ”
       เสียงใหญ่ดังเข้ามา “ปิ่นอนงค์”
       ทัศนีย์ชะงักหันไปเห็นใหญ่เดินมาตามหาปิ่นอนงค์ ใหญ่เองก็ชะงักรีบหันหน้าไปทางอื่นไม่กล้ามองทัศนีย์ตรงๆ
       ทัศนีย์ก้มมองตัวเองแล้วยิ้มๆ เดินเข้าไปยั่วยวนใหญ่
       “ปิ่นไม่อยู่ค่ะ ไม่รู้ไปไหน เรียกใช้นีแทนก็ได้นะคะ”
       ใหญ่สะบัดเสียงใส่ “ไม่ต้อง
       ใหญ่เดินหนี ทัศนีย์แผลยังไม่หายดี รีบกระเผลกตาม
       “เดี๋ยวสิคะคุณใหญ่ ทำไมชอบหลบหน้านี โอ๊ย”
       ทัศนีย์หกล้ม ใหญ่หันกลับเข้าไปประคอง “แผลยังไม่หายดีไม่ใช่หรือ แล้วจะวิ่งทำไม”
       “เพราะนีรักคุณใหญ่”
       ทัศนีย์กอดใหญ่ไว้ ใหญ่พยายามดึงมือออก “อย่าทำอย่างนี้ทัศนีย์เดี๋ยวไอ้ปาน” ชะงักคำ “เดี๋ยวคนอื่นๆ มาเห็นมันไม่ดี”
       ทัศนีย์ไม่ฟัง “เห็นก็เห็นไป นีจะให้ทุกคนเห็นว่านีรักคุณใหญ่”
       ใหญ่ฉุน บิดตัวหนี “รักได้ยังไง เธอจะมาโมเมข้างเดียวไม่ได้”
       “นียอมทุกอย่าง นีจะยอมเป็นพยานช่วยคุณใหญ่ก็ได้ คุณใหญ่ไม่ใช่คนฆ่าป้าอุ่น แต่เป็นคนอื่น”
       ใหญ่จับไหล่ทัศนีย์เขย่าๆ “ใครฆ่าป้าอุ่น”
       
       ปิ่นอนงค์ผ่าฟืนเสร็จ นั่งขาแพลงอยู่ตรงป่ารกร้างติดกับสวน มีฟืนกระจายรอบๆ ตัว ปิ่นอนงค์พยายามยันตัวลุกแต่ลุกไม่ขึ้น
       มีขาผู้ชายมายืนค้ำหัว ปิ่นอนงค์เงยหน้า เห็นใหญ่ยืนหน้าบึ้งตึงมองอยู่
       “มาทำอะไรแถวนี้”
       “อากาศมันเริ่มเย็น ปิ่นก็เลยมาหาฟืนไปต้มน้ำให้คุณนีอาบค่ะ”
       ใหญ่เหน็บแนม “เธอนี่ชอบเป็นคนใช้หรือไง ฉันเห็นคอยทำนั่นทำนี่ให้คนไปทั่ว เขาขอร้องให้เธอช่วยหรือไง จุ้นจ้านไม่เข้าท่า”
       ปิ่นอนงค์ไม่พอใจ พยายามลุกอีก ใหญ่รำคาญช้อนร่างอุ้มปิ่นอนงค์จนตัวลอย ปิ่นอนงค์โมโหพูดเสียงเฉียบขาด
       “ปล่อยปิ่นลงเถอะค่ะ ถ้าปิ่นไม่ขอให้ช่วย เรียกว่าจุ้นจ้านใช่มั้ยคะ”
       ใหญ่ตะคอก “หุบปากได้แล้ว เดี๋ยวฉันหมั่นไส้ก็โยนลงตรงนี้เลยซะนี่”
       ใหญ่อุ้มแล้วเดินไป ปิ่นอนงค์เม้มปากแน่น
       
       ปิ่นอนงค์นั่งนิ่งบนเตียงในห้องนอนใหญ่ เพ็ญยื่นยาให้ใหญ่ “นี่ค่ะ ทาแล้วนวดเบาๆ ช่วยให้เท้าหายปวดได้”
       ใหญ่ฮึดฮัดไม่อยากทำให้ “ให้เขาทำเองสิครับ” หันไปบอกปิ่นอนงค์ “รับยาไปสิ”
       เพ็ญหน่าย ยัดยาใส่มือใหญ่ ทำเสียงดุ “เรานั่นแหละควรทำ”
       ใหญ่จะอ้าปาก เพ็ญเดินหนีออกไปเลย
       “ปิ่นทำเองค่ะ”
       ปิ่นอนงค์ยื่นมือไปรับยา ถูกใหญ่ดุ “อยู่เฉยๆ ไม่ต้องจุ้นจ้าน”
       ใหญ่เอาคืน ทายาแล้วนวดยาให้ ปิ่นอนงค์มองมือใหญ่ที่นวดขาให้ท่าทีอ่อนโยนมาก
       “ทำไมต้องมาห่วงปิ่นด้วย”
       ใหญ่ทำปากดีใส่ “เป็นคำถามที่ฉันก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ฉันโกรธเธอเรื่องพี่พงษ์ตาย อยากจะไปบีบคอเธอ แต่พอเห็นหน้า กลับทำไม่ลง ตลกมั้ย”
       ปิ่นอนงค์หัวใจพองโต “พูดตรงไปตรงมาก็เป็นด้วย”
       “เพราะเถียงกับเธอแล้วฉันเหนื่อย”
       ใหญ่ส่ายหน้าจะลุกหนีไป ปิ่นอนงค์ดึงมือไว้ ใหญ่ชะงัก ปิ่นอนงค์สอดนิ้วทั้งห้าเข้าไประหว่างนิ้วของใหญ่ กำมือแน่น
       “ปิ่นว่า ปิ่นตลกกว่า คุณใหญ่แกล้งปิ่นแรงๆ นับครั้งไม่ถ้วน ปิ่นอยากเกลียด อยากแช่งให้คุณใหญ่หายไปจากโลกนี้แต่ทุกครั้งที่คุณใหญ่มาหา ปิ่นกลับดีใจ” น้ำเสียงปิ่นอนงค์เริ่มสั่นเครือ “ยอมถูกด่าดีกว่าไม่เห็นหน้ากัน”
       สองคนจ้องตากัน ใหญ่ใจอ่อน นั่งลงข้างๆ “ฉันไม่ได้ฆ่าแม่เธอจริงๆ เชื่อฉันเถอะ”
       ปิ่นอนงค์จ้องหน้าใหญ่ “คุณนีบอกแล้วค่ะว่าเป็นใคร ปิ่นสงสารแม่ แม่รักคุณนายมากแต่คุณนายกลับ....”
       เสียงปิ่นอนงค์ขาดหายไปในลำคอ ก้มหน้าสะอื้นรู้สึกสงสารแม่จับใจ
       ใหญ่แค้นคำรามในลำคอ “นางมารร้ายมันต้องรับโทษ”
       ปิ่นอนงค์รีบเงยหน้าที่นองน้ำตาห้าม “อย่าผูกเวรกันต่อไปเลยค่ะ”
       “แต่มันเป็นโอกาสที่เราจะเอาคุณนายเข้าคุก ทัศนีย์ยอมเป็นพยานให้ฝ่ายฉันแล้ว”
       ปิ่นอนงค์ตกใจ โพล่งออกมา “แต่คุณนีเป็นลูก เอาผิดแม่ตัวเองไม่ได้นะคะ”
       ใหญ่ไม่สน “ยิ่งเป็นลูก ก็จะทำให้มีน้ำหนัก”
       คราวนี้ปิ่นอนงค์อึ้ง “นี่คุณใหญ่รู้”
       “ฉันเคยแอบได้ยิน นายผาผัวเก่าของครองสุขมันพูด วันที่ฉันพลั้งมือฆ่ามัน แต่ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ เลยไม่ได้พูดกับใครได้แต่เก็บความสงสัยไว้”
       “ถึงคุณใหญ่จะโกรธแค้นคุณนายมากแค่ไหน ก็อย่ามาลงที่คุณนีอีกเลยนะคะ ปล่อยเธอไปเถอะค่ะ คุณนีคงเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าคุณใหญ่ มีแม่แต่ก็เรียกแม่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเธอทนอยู่มาได้ยังไงถึงวันนี้”
       พูดเท่านั้นปิ่นอนงค์ก็ร้องไห้ออกมาอย่างสะเทือนใจ ใหญ่ยกมือเช็ดน้ำตาให้ ปิ่นมองหน้าใหญ่ด้วยความรัก ใหญ่พรมจูบที่หน้าผากแผ่วเบา ละเรื่อยมาที่จมูก และปาก ปิ่นอนงค์เอนตัวลงนอน ไม่แข็งขืนต่อต้านแต่อย่างใด
       
       ที่หน้าห้องใหญ่ เวลานั้นเปี๊ยก หวาน และน้อย สุมหัวกันนั่งชิดประตู ไม่ได้แอบดู แต่แอบฟัง
       น้อยกระซิบกระซาบ “เงียบไปแล้ว สงสัยว่า”
       น้อยกับหวานหัวเราะกันคิกคักชอบใจ เปี๊ยกพยายามยื่นหน้าไปถามว่าอะไรเพราะไม่เข้าใจ
       “อย่ายุ่ง”
       หวานกับน้อยดันหน้าเปี๊ยกหงายไปตามระเบียบ
       
       ตกกลางคืนทัศนีย์นอนร้องไห้ซบหมอนอยู่ในกระท่อมท้ายเหมือง เสียงใหญ่เมื่อเย็น ดังก้องในหัว
       “ถึงเธอจะช่วยเป็นพยานให้ฉัน แต่ฉันก็คงรักเธอไม่ได้ เพราะฉันรักปิ่นอนงค์”
       ทัศนีย์สะอึกสะอื้นอย่างอ้างว้างและเดียวดาย เพียงลำพัง
       
       เวลาเดียวกันนั้นครองสุขนอนพลิกไปพลิกมา เสียงกรนเสี่ยตงดังสนั่น ครองสุขมองอย่างรังเกียจ
       ลุกนั่ง แล้วเดินออกจากห้อง 
       ครองสุขเดินลงมาที่หน้าเรือนใหญ่ ครุ่นคิดเรื่องที่ธีระข่มขู่
       “ผมต้องการเงินทุกเดือนๆ ละสามหมื่น เป็นค่าปิดปากไม่ให้ตำรวจรู้เรื่องที่พี่ครองวางยาฆ่าไอ้ใหญ่ แล้วผมจะบอกรังรักของเราอีกที”
       ครองสุขกลุ้มใจจะหันหลังกลับขึ้นเรือน แต่เห็นใครคนหนึ่งแว่บๆ นั่งอยู่คนเดียว
       ครองสุขสงสัยเดินเข้าไปแอบดู เห็นจอมถอดเสื้อโชว์มัดกล้าม กำลังนั่งยกไหเหล้าสูงเหนือศีรษะ แล้วเทลงปาก
       จอมเงยหน้าอ้าปากรอรับเหล้าจากไห น้ำบางส่วนไหลเปื้อนหน้าเปื้อนแผงอก ครองสุขมองตาม เกิดอารมณ์เปลี่ยว
       ครองสุขตั้งใจดึงเชือกที่ผูกเสื้อคลุมแบะออก เผยให้เห็นชุดนอนด้านใน แล้วเดินเข้าไปหาจอม
       พอจอมหันมาเห็นครองสุขยืนอยู่ข้างตัว แย่งไหเหล้าจากจอมยกดื่ม แล้วทรุดนั่งข้างจอม ก้มหน้าสะอึกสะอื้น เริ่มแผนจะกินจอม
       “ฉันอยากตาย ทำไมผู้หญิงเราต้องคอยเป็นเบี้ยล่างผู้ชายอยู่วันยังค่ำ ฉันหวังจะมีใครสักคนที่รักฉันด้วยใจจริง แต่ไม่มีเลย ไอ้เสี่ยตงมันก็ข่มเหงรังแกฉัน เหมือนฉันเป็นสัตว์เลี้ยงของมัน”
       จอมแตะบ่าครองสุขพูดปลอบ “ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนหรอกครับที่เป็นแบบนั้น”
       ครองสุขใส่จริตโผกอดจอม “ฉันต้องการคนที่เข้าใจฉันบ้าง ฉันเหงาไม่มีใครเลย เธออยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”
       จอมเห็นใจแต่ไม่อยากเล่นด้วย ดึงครองสุขออก รีบลุกหนี
       “คือ...ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”
       จอมรีบไปอย่างเร็วรี่ ครองสุขอารมณ์ค้างกลางหาว หงุดหงิดมากๆ จิกตาด่าตามเบาๆ
       
       “ไอ้โง่”

------------------------------------------
รุ่งเช้าวันต่อมา ปิ่นอนงค์ลืมตาตื่นขยับตัวจะลุก ใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆ ดึงไว้จนปิ่นอนงค์เซกลับไปทับบนอก
       
       “จะรีบไปไหนล่ะ เดินได้แล้วหรือ ฉันให้นอนพักอีกวันยังไม่ต้องไปทำงาน”
       “ปิ่นต้องไปดูคุณนี”
       “โตป่านนี้ทำไมต้องดู”
       “ปิ่นไม่ได้กลับไปนอนด้วย เขาอาจเป็นห่วง คนอยู่ร่วมกันต้องนึกถึงใจกัน”
       ใหญ่ฉุน ที่ปิ่นอนงค์ดื้อ “เธอนี่น่าไปเป็นครูบาอาจารย์ หรือไม่ก็พวกนักจิตวิทยา ให้คำปรึกษากับคนเป็นโรคจิตประสาท”
       “คุณใหญ่จะเป็นคนไข้มาปรึกษาคนแรกใช่มั้ยคะ” ปิ่นอนงค์ประชด
       “นี่เธอว่าฉันเป็นโรคจิตหรือ”
       “ทุกคนเป็นโรคจิตด้วยกันทั้งนั้นค่ะ อยู่ที่ว่าเราจะคุมมันไว้ไม่ให้อารมณ์ลึกๆตรงนั้นปล่อยออกมาทำร้ายตัวเองหรือคนอื่นหรือเปล่า”
       ใหญ่ผุดลุกขึ้นมานั่ง ปิ่นอนงค์ลุกตาม “แล้วเธอล่ะเธอป่วยเป็นอะไร”
       ปิ่นอนงค์สีหน้าเศร้า ผินหน้ามองไปทางหน้าต่าง ยินเสียงเด็กหญิงเล็กๆ หัวเราะชอบใจแว่วมา
       
       ที่ริมหน้าต่างใหญ่โอบเอวปิ่นอนงค์มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นคนงานเหมืองกำลังทำมือเป็นเขาควายไล่ขวิดลูกสาวตัวน้อย ลูกสาววิ่งหนีเป็นวงกลมหัวเราะชอบใจ
       “ปิ่นอยากมีพ่อเหมือนคนอื่น เวลาที่ปิ่นเห็นคุณลุงไพศาลกับคุณใหญ่ มันทำให้ปิ่นรู้สึกอิจฉา”
       คนงานอุ้มลูกน้อยลอยเหนือหัวจับร่อนไปร่อนมาเหมือนเป็นเครื่องบิน ปิ่นอนงค์มองภาพนั้นแล้วยิ้ม “มันคงรู้สึกดีถ้าปิ่นได้ลอยละล่องเป็นเครื่องบิน บินไปทั่วฟ้าอย่างนี้”
       ใหญ่เผลอยิ้มนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก
       “มันน่าหวาดเสียวจะตายไป ตอนพ่อเหวี่ยงแรงๆ ฉันกลัวตกแทบแย่ แต่มันก็ตื่นเต้นดี ฉันชอบขอให้พ่อพาฉันบินบ่อยๆ จนพ่อแซวว่าฉันคงอยากเป็นนักบิน”
       ปิ่นอนงค์เหลียวมองหน้าใหญ่ ใหญ่หันมามองสบตา สองคนน้ำตาคลอทั้งคู่ ปิ่นอนงค์จับมือใหญ่พูดคำมั่น
       “เรามารักษามันให้หายนะคะ”
       ใหญ่ดึงปิ่นอนงค์เข้ามากอดเต็มรัก เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะโรแม้นซ์ ทั้งคู่รีบผละจากกัน
       เสียงปานเทพดังลอดเข้ามา “ไอ้ใหญ่ ตื่นหรือยังวะ”
       
       ปานเทพยืนก๋ารอที่หน้าห้อง ประตูเปิดออกใหญ่มายืนขวางเท้าสะเอว
       “อะไรวะ มาโหวกเหวกแต่เช้า”
       “เช้าบ้านแกนะสิ นี่มันสายตะวันโด่งแล้วนะโว้ย”
       ปานเทพเห็นพิรุธมองลอดช่องเข้าไปอยากรู้ “แกอยู่กับใคร ฉันได้ยินเสียงคุยกัน”
       ใหญ่รีบขยับบังประตู “มีที่ไหนเล่า ฉันอยู่คนเดียว”
       “ฉันไม่เชื่อ ขอเข้าไปดูหน่อย แอบเอาใครมาซ่อนไว้หรือเปล่า”
       ปานเทพกลัวว่าจะเป็นทัศนีย์ ใหญ่ยืนกรานเสียงแข็ง
       “ไม่มี แต่ถ้าจะมี ก็ไม่เห็นแปลก ฉันเป็นผู้ชายนะโว้ย มีผู้หญิงมานอนด้วยก็ไม่เสียหาย”
       ปานเทพหน้าเสีย “ผู้หญิงคนนั้นฉันรู้จักหรือเปล่า หวังว่าคงไม่ใช่ยัย ยัย...”
       “ยัยชะนีของแกนะหรือ” ใหญ่หัวเราะอย่างรู้ทัน “ก็สวยดีนะแต่ฉันไม่ชอบกินของเปรี้ยวโว้ยมันเข็ดฟัน โน่นไปเลย ยัยชะนีอยู่ที่กระท่อม”
       ปานเทพไม่เชื่อ จะเข้าห้องให้ได้ “แล้วข้างในเป็นใคร”
       ปานเทพจะดันใหญ่ออก ใหญ่ไม่ยอม “ก็บอกไม่มี แกนี่มันยังไงวะ”
       ใหญ่แกล้งถอยออกมายืนหลังประตู “ก็ได้ อยากดูนัก ก็เข้ามาเลย”
       แต่พอปานเทพจะเข้าไป ใหญ่ปิดประตูปังใส่หน้า หน้าผากปานเทพโขกประตูจังๆ ร้องลั่น
       “โอ๊ย”
       ปานเทพเตะประตู “ไอ้ใหญ่ เปิดออกมา ไม่งั้นพังเข้าไปนะโว้ย”
       เพ็ญเดินมาเห็น รีบดึงปานเทพออก “พอแล้วนายปาน ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ โตกันแล้วนะ”
       “ก็มันชอบโกหก” ปานเทพฟ้อง พูดเสียงเบาๆ “ผมสงสัยว่ามันเอาปิ่นมานอนด้วยดูมันสิน้าเพ็ญ ทีผมล่ะก็ห้ามนั่นห้ามนี่ แล้วมันกลับทำเอง”
       เพ็ญทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “อย่าเดาสุ่ม ถ้าไม่เห็นเอง แล้วถ้าเขาไม่อยากให้เห็น ก็ไม่ต้องอยากรู้” เพ็ญตัดบท รีบส่งปิ่นโตให้ “เอาไปให้หนูนีสิ คงยังไม่ได้กินอะไร”
       ปานเทพมองปิ่นโตตาเป็นประกายวิบวับ
       
       ด้านในห้องใหญ่กับปิ่นอนงค์แนบหูอยู่กับประตู
       “คงไปกันแล้วค่ะ”
       ใหญ่ถอนใจโล่งอกเดินไปกลางห้อง ปิ่นอนงค์เดินตาม
       “คุณใหญ่ผูกเรื่องไว้มากมาย ดึงคนที่คุณใหญ่รักเข้ามาในวังวนปัญหาของคุณใหญ่ ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้...”
       ใหญ่สวนคำ “สรุปง่ายๆ เธอกำลังบอกฉันว่า ฉันทำให้ไอ้ปาน น้าเพ็ญแล้วก็อาปลอดเดือดร้อน”
       ปิ่นอนงค์ไม่ตอบ ขี้เกียจจะทะเลาะ เดินไปหยิบผ้าขนหนูให้ “อาบน้ำก่อนนะคะ ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด บางทีคำตอบมันง่ายนิดเดียว แต่เราดื้อที่จะเลือกเชื่อตัวเอง มากกว่ายอมรับว่าเราคิดผิด ทำผิด”
       ปิ่นอนงค์ทอดยิ้มส่งให้กำลังใจใหญ่ แล้วเดินออกจากห้องไป ใหญ่คิดตามคำพูดปิ่นอนงค์
       
       ปานเทพหิ้วปิ่นโตมาหยุดยืนหน้ากระท่อม ตะโกนเสียงเข้ม “เปิดประตู”
       ทัศนีย์แต่งตัวอยู่สะดุ้ง เสียงปานเทพดังมาอีก “อยากเจ็บตัวหรือ ป่านนี้ไม่ออกไปทำงานที่ฟาร์ม”
       ปานเทพร้องขู่ต่อ “คิดจะท้าทายฉันใช่มั้ย บอกให้เปิดประตู”
       ทัศนีย์เดินไปเดินมาท่าทีหวาดกลัว “ทำไงดี ปิ่นก็ไม่อยู่ด้วย”
       ปานเทพอยู่นอกกระท่อมคิดเป็นห่วงขึ้นมา “หรือจะเป็นอะไรไป ถึงเงียบแบบนี้”
       ไวเท่าความคิด ปานเทพตกใจ ออกแรงถีบประตู ประตูกระท่อมเปิดออกอย่างง่ายดาย
       ปานเทพปรี่เข้ามาแต่ไม่เห็นทัศนีย์ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทัศนีย์คำราม “แก คิดจะรังแกผู้หญิงหรือ”
       พอปานเทพหันมาข้างหลัง ก็เห็นทัศนีย์เงื้อไม้เท้า ฟาดไม้ใส่หัวปานเทพดังโป๊ก!
       ปานเทพยืนมึนเห็นดาว “ฉันไม่ได้อ่อนแอเหมือนอย่างที่นายคิดหรอกนะ ถ้าจะคิดข่มเหงฉัน ฉันขอสู้ตาย”
       ปานเทพชูปิ่นโตให้ดู พูดเสียงเหมือนคนจะหมดลม “เอาข้าวมาให้กิน”
       พูดจบ ร่างปานเทพก็ร่วงลงพื้น ปิ่นโตตกลงข้างตัว ทัศนีย์ตกใจมองปิ่นโตเขม็ง รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดไป
       ทัศนีย์ปล่อยไม้เท้าตกลงพื้น มองปานเทพตาค้างแล้วจับร่างเขย่าๆ
       
       “นายปาน นายอย่าเพิ่งตายนะ ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ” 

------------------------------------------------


   เจิดกะก้าน นั่งกินข้าวกล่องอย่างเอร็ดอร่อยที่หน้าบังกะโลเล็กๆ แห่งนั้น
       
       “อิจฉาคนข้างในว่ะ ไม่รู้ตอนนี้ไปกันถึงไหนแล้ว”
       เจิดชะเง้อมองทางหน้าต่างที่ปิดอยู่ โดนก้านตีหัว
       “กินเข้าไปเหอะ”
       เจิดกินต่อ
       
       ส่วนด้านในห้องพัก ครองสุขอิ่มเอมในกามารสที่ธีระปรนเปรอ แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยหันมาหา ธีระกอดครองสุขอย่างรักใคร่
       “เธอเนี่ยเก่งเสมอนะธีระ ฝีมือไม่เคยตก”
       “ผมเบื่อแล้วคำชม แต่อยากได้อย่างอื่น”
       ธีระแบมือ ครองสุขยิ้มส่งเงินให้ ธีระยิ้มพอใจ ครองสุขลูบไล้อกธีระ
       “กลับไปอยู่ที่ไร่ด้วยกันมั้ย ไปรื้อฟื้นความหลังตอนที่เรามีความสุขด้วยกัน พี่ไม่เคยลืมเลยนะ”
       ธีระฉงน “แล้วไอ้เสี่ยตง”
       “ถ้ามันเป็นหนาม จะไปเดินเหยียบให้มันตำเท้าเธอทำไมล่ะเรามาช่วยกันฟันมันทิ้งให้หมด เธอจะได้เดินเข้าไร่อย่างสง่าผ่าเผย ดีมั้ย”
       
       ที่แท้ครองสุขเบื่อเสี่ยตงแล้วจึงอยากฆ่าทิ้ง แล้วเอาธีระกลับมาใช้งานแทน
       
       ส่วนทัศนีย์นั่งอยู่บนแคร่หน้ากระท่อม ดึงชั้นปิ่นโตที่ปานเทพหิ้วมาให้ ออกจากขาปิ่นโต
       “หูย น่าเสียดาย หกเกือบหมด เหลืออยู่อย่างละนิดเอง”
       ปานเทพเดินกุมหัวออกมาจากด้านใน มองทัศนีย์
       ทัศนีย์ยกชั้นปิ่นโตที่เหลือกับข้าวอยู่นิดหน่อย เทรวมลงไปในปิ่นโตข้าวเปล่า เหมือนพระวัดป่าฉันข้าวรวมในบาตร
       ทัศนีย์ตักกินอย่างหิวโหย ปานเทพมองอย่างสงสารเห็นใจ เดินเข้าไปหา ดึงปิ่นโตมา
       “อย่ากินเลย เดี๋ยวไปเอามาให้ใหม่”
       ทัศนีย์ดึงกลับมา “เอาคืนมานี่ ฉันกินได้”
       “คนที่เคยแต่กินดีอยู่ดีอย่างเธอนี่หรือ กินได้”
       “ใช่ ก็ดีกว่าอดตาย” ทัศนีย์กระชากคืน “เรื่องหัวนาย ฉันไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะนายทำให้ฉันตกใจ แต่เรื่องเอาข้าวมาให้เนี่ย” ทัศนีย์พูดห้วนๆ “ขอบใจ”
       ปานเทพนั่งเซ็ง หันหลังให้ทัศนีย์ “ที่เธอเห็นไอ้นิสัยแย่ๆ ที่ฉันทำกับเธอมา” ปานเทพเสียงตะกุกตะกัก “ตั้งแต่อยู่ที่ไร่ จนมาอยู่ที่นี่ เธอเชื่อมั้ยว่ามันเป็นตัวฉัน”
       “เชื่อ” ทัศนีย์บอกโดยไม่ต้องคิด
       ปานเทพหน้าแตก หันมามองหน้าทัศนีย์เขม็ง ทัศนีย์รีบแก้ตัว
       “ฉันเป็นคนไม่ซับซ้อน เห็นอะไรก็คิดอย่างนั้น ถ้าใครอยากให้ฉันคิดยังไง ก็ต้องทำออกมาตรงๆ ไม่ต้องให้ฉันแปลเพราะฉันมันคนเรียนไม่เก่ง ต้องสอบซ่อมมันทุกวิชา”
       ทัศนีย์พูดตรงๆ ซื่อๆ แบบผู้หญิงไม่มีพิษสงอะไรเลย ปานเทพชอบใจมาก อมยิ้มแล้วขำออกมา
       ทัศนีย์งุนงง “หัวเราะที่ฉันโง่หรือ”
       ปานเทพพูดเสียงสูง “เปล๊า”
       ระหว่างนั้น ปิ่นอนงค์เดินเข้ามาหิ้วผักมาเต็มตะกร้า “ปิ่น หายไปไหนมา”
       ทัศนีย์กระโดดไปหาปิ่นอนงค์ทันที
       “เมื่อคืนฉันกลัวมากรู้มั้ย ทั้งเสียงคางคกเอย อึ่งอ่างเอย มันดังอยู่ข้างหูฉัน ฉันกลัวมันกระโดดเข้ามานอนด้วย เลยตาค้างทั้งคืน ยัยปิ่นบ้า ทิ้งฉันได้ยังไง”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มเอ็นดูทัศนีย์เหมือนน้องสาว จับมือบอกทัศนีย์ “ต่อไปไม่ทิ้งอีกแล้ว”
       ปานเทพมองสองสาว ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำผิดมากที่เชื่อใหญ่ทรมานผู้หญิงสองคนนี้ ปิ่นอนงค์ให้ทัศนีย์ดูผัก
       “เย็นนี้เรามาช่วยกันทำอาหารมื้อใหญ่กันนะ”
       ปานเทพยังเก๊กทำเสียงดุอยู่ “ทำเลี้ยงใครไม่ทราบ”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มไม่ยอมตอบ แต่มองหัวปานเทพเห็นมีสำลีแปะอยู่ ขณะที่ปานเทพยิ้มอายๆ จับหัวตัวเองป้อยๆ
       ปิ่นอนงค์หันมามองหน้าทัศนีย์เป็นเชิงถาม ทัศนีย์ยิ้มแหยๆ
       
       พอปานเทพเดินเข้าห้อง ก็ต้องแปลกใจที่เห็นใหญ่นั่งที่โต๊ะกำลังเปิดตำรากฎหมายของตนดูอย่างสนใจ
       “แกอ่านรู้เรื่องหรือ แล้วเป็นอะไร อยู่ๆ มาอ่านตำรากฎหมาย”
       ใหญ่ปิดตำรา ลุกยืน “อ่านเล่นๆ เผื่อจะฉลาดขึ้น”
       “เจอแกก็ดีแล้ว” ปานเทพเดินไปนั่งที่เตียง ใหญ่หันมา “ฉันจะปล่อยทัศนีย์ไป ส่วนปิ่นอนงค์แกอยากจะแก้แค้นเขาต่อ ฉันก็ไม่ขอออกความเห็น”
       ใหญ่สบโอกาสลองหยั่งเชิงปาน เทพ “ทำไม ไม่แค้นแทนอาปลอดแล้วหรือ นั่นพ่อแกนะโว้ย”
       ปานเทพเข้าไปหยิบตำรากระแทกบนโต๊ะดังปัง “เพราะฉันร่ำเรียนกฎหมายมา ฉันมีหน้าที่เป็นตัวแทนของลูกความเพื่อสร้างความยุติธรรมให้ประชาชน ไม่ใช่คนที่จะทำลายกฎหมายเสียเอง มันน่าอาย”
       ใหญ่ลุกยืนตบบ่าปานเทพ ตัดสินใจเล่าเรื่องทัศนีย์ให้ฟัง
       “ทัศนีย์เป็นลูกสาวของคุณนายครองสุข แต่โดนแม่บังคับให้เรียกว่าน้าตั้งแต่ตอนที่เข้ามาอยู่ในไร่ไพศาล นี่แหละที่ฉันจะมาบอกแก”
       พูดจบใหญ่ก็เดินออกไป ปานเทพอึ้ง ตะลึงตาค้าง ยิ่งสงสารทัศนีย์มากขึ้น
       
       ใหญ่เดินนำเพ็ญกับปานเทพเข้ามาที่โต๊ะอาหาร เห็นทัศนีย์กับปิ่นอนงค์ยืนจัดสำรับอาหารเรียบร้อย
       “พวกเธอทำเองหรือ” เพ็ญถาม
       “ค่ะ ปิ่นอนงค์บอก
       ปานเทพมองใหญ่อย่างงุนงง ใหญ่ผายมือ
       “นั่งเลย” ใหญ่บอกสองสาว “เธอสองคนด้วย ทานข้าวด้วยกัน”
       เพ็ญกับปานเทพนั่ง แว่บหนึ่งนั้นปานเทพมองทัศนีย์หลังจากรู้ว่าเป็นลูกครองสุขยิ่งเวทนา
       สองสาวนั่ง เพ็ญถามใหญ่
       “ถ้าน้าเดาไม่ผิด คงไม่ใช่แค่ทานข้าวร่วมกันอย่างเดียวใช่มั้ย”
       “ผมอยากปรึกษาเรื่องคดีความของผม”
       ปิ่นอนงค์มองหน้าใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าใหญ่จะทำอะไร ปานเทพวางช้อน
       “ฉันเคยบอกแล้วว่าแกยังไม่มีพยานหลักฐาน ให้อยู่เฉยๆ ก่อน”
       ทัศนีย์รีบบอก “นีเป็นพยานเอง ว่าคุณใหญ่บริสุทธิ์”
       “ไม่ได้ ฉันห้ามเธอยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มภูมิใจในการตัดสินใจของใหญ่
       ใหญ่หันไปทางเพ็ญ “น้าเพ็ญครับ ผมจะมอบตัว และต่อสู้กับคุณนาย” มองปานเทพอย่างมุ่งมั่น “ด้วยอาวุธทางกฎหมาย ไอ้ปานมันเชื่อว่าความยุติธรรมมีอยู่จริง ผมจะเชื่อมัน”
       
       ทุกคนมองหน้าใหญ่ต่างตกตะลึง ไม่คาดฝัน 



โปรดติดตาม "ปิ่นอนงค์" ตอนที่ 17


No comments:

Post a Comment