Wednesday, July 11, 2012

ดูละครปิ่นอนงค์ ตอนที่ 2 Pin Anong 偷心俏冤家 02

>> Watch Online ปิ่นอนงค์ Pin Anong 偷心俏冤家 EP02

ปิ่นอนงค์ ตอนที่ 2 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


เย็นวันนั้นใหญ่แต่งตัวทะมัดทะแมง แบกเป้พาดหลัง เปิดประตูผัวะออกมา ปานเทพตามติด สองหนุ่มคุยกันที่หน้าห้องพักในโรงแรม       
       “เฮ้ย ไอ้ใหญ่ เดี๋ยว นี่แกจะไปไหน ไปทำอะไรอีกวะบอกกันบ้างดิ”
       “แกอยากให้ชั้นไปจัดการอะไรให้มันเสร็จๆ ไปไม่ใช่เหรอ ฉันเพิ่งนึกออกว่าจะจัดการยังไง”
       ใหญ่เดินออกไปทันควัน
       “ใหญ่ ไอ้คุณใหญ่” ปานเทพพุ่งตัวเดินตาม
       
       ทางด้านปิ่นอนงค์เดินหิ้วถุงขนม ผลไม้เข้ามาในห้องผู้ป่วย อุ่นเรือนนอนหลับอยู่
       จินตนาเอานิ้วจุ๊ปาก ฉุดมือมาคุยกันอีกมุม
       “เรื่องค่าผ่าตัดว่าไง”
       “ไม่มีปัญหาหรอก เราไปคุยกับการเงินแล้วว่าขอจ่ายตอนแม่ออกจากโรงพยาบาลเลย แต่จินอย่าให้แม่รู้เรื่องนี้เด็ดขาดนะ” ปิ่นอนงค์มีสีหน้ากังวล กำชับเพื่อนเลิฟ
       “เราไม่พูดอยู่แล้ว แต่เงินตั้งเป็นแสนๆ คุณนายจอมโหดของปิ่นจะยอมจ่ายเหรอ” เห็นปิ่นหน้าสลด จินตนานึกรู้ทันที “ไม่ยอมใช่มั้ย ว่าแล้ว...”
       อุ่นเรือนตื่นขึ้นมาสองสาวรีบเข้าไปดู จินตนาถามขึ้นก่อน “เป็นไงบ้างจ๊ะแม่”
       “หมอให้แม่ออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน” อุ่นเรือนถามทันที
       “คงจะสองสามวันนี้แหละจ้ะ เดี๋ยวปิ่นไปถามหมอให้” ปิ่นอนงค์บอกยิ้มๆ
       อุ่นเรือนดุ “นี่แม่ให้ถามตั้งนานแล้ว ทำไมยังใจเย็นอยู่ได้ ค่าผ่าตัด ค่าโรงพยาบาลจะเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เราจะมีปัญญาจ่ายเค้าเหรอ”
       ปิ่นอนงค์หันไปมองสบตากับจินตนา “แม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ คุณนายท่านบอกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
       อุ่นเรือนยังวลไม่หาย “แต่แม่ไม่อยากรบกวนคุณนาย ตอนนี้ท่านก็ปวดหัวมากพอแล้ว”
       “แม่อย่ากังวลเลยจ้ะ ที่ปิ่นรู้มาค่าผ่าตัดไม่แพงเท่าไหร่หรอก ที่นี่เห็นว่าเราเป็นคนของไร่ไพศาลก็เลยลดให้ แม่พักผ่อนให้มากๆ จะได้กลับไปไร่เร็วๆไงจ๊ะ”
       ปิ่นอนงค์ปลอบแม่แล้วขยับผ้าห่มให้ยิ้มแย้มแจ่มใส อุ่นเรือนค่อยวางใจหลับตาลง จินตนามองปิ่นอนงค์อย่างเห็นใจ
       
       เหตุการณ์ที่ไร่ไพศาลเวลานั้น เปี๊ยกชี้ชวนถวิลเข้ามากับหวาน คนงานคนหนึ่งกำลัง ผสมด่างทับทิมในกะละมัง คนไปมา
       ขณะที่คนงานอีกคน ใช้ผ้าชุบด่างทับทิม เช็ดเท้าวัวกิริยาทุลักทุเล
       ถวิลทำหน้างง กวาดตามองวัวในคอกแล้วมองกะละมัง
       “ท่าทางไม่ดีซะแล้ว แล้วยาล่ะ ทำไมมีด่างทับทิมแค่นี้เองเหรอ”
       เปี๊ยกพยักหน้า ถวิลอึ้ง
       “เฮ้ย...อย่างนี้ไม่ได้ ต้องไปบอกคุณธีระ เดี๋ยวชั้นไปเอง”
       เปี๊ยกดึงมือถวิลรั้งเอาไว้ แล้วทำท่าทำทางหวานมองแล้วพยายามแปล
       “พี่เปี๊ยกกับจอมไปบอกแล้ว แต่คุณธีระเค้าเฉยๆ ไม่ว่าอะไร” หวานแปล
       ถวิลโวย “เฉยได้ยังไงวะ เป็นผู้จัดการ”
       ว่าพลางถวิลขยับจะไป แต่แล้วรถสิบล้อติดกรง วิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าพอดี
       เจิด ก้าน ลูกน้องธีระ ก้าวลงจากรถ กวาดตามองพวกถวิล เจิดสั่ง
       “เฮ้ย พวกเอ็งคัดวัวขึ้นรถให้เต็มเร็วๆ ด้วย ต้องขนหลายเที่ยว”
       ถวิลไม่ยอม “พวกเอ็งเป็นใคร มาจากไหน อยู่ๆ จะมาเอาวัวไปได้ยังไง”
       “พวกข้าเป็นลูกน้องคุณธีระ หางแถวอย่างแกอย่าหือ” เจิดบอกวางก้าม
       ก้านเสริม “คุณธีระให้พวกข้าเอาวัวไปขาย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าไอ้แก่”
       ถวิลโวยวาย ไม่ยอมท่าเดียว “บ้าแล้ว ข้าไม่เชื่อ อยู่ๆมาอ้างชื่อคุณธีระ ข้าไม่ยอมหรอก”
       เจิดร้องสั่งเสียงดัง “เสียเวลา.....ไอ้ก้าน เปิดคอก”
       ก้านตรงไปถอดไม้ประตูคอก เปี๊ยกโดดเข้าขวาง ก้านชกเปี๊ยกสุดแรงจนร่างกระเด็น คนงานตกใจ ก้านตามมาเตะท้องเปี๊ยกซ้ำ
       ถวิลโมโหกระโดดถีบก้านกระเด็น เจิดตรงเข้าต่อยถวิลจนถวิลเซไป เจิดจะซ้ำ หวานเข้าจับแขนเจิด เจิดตบหวานกระเด็นไปหาเปี๊ยก
       ก้านเข้ากอดล็อกแขนถวิล เจิดต่อยถวิลไปมา ถวิลทรุดลงไปกองกับพื้นหน้าคอกวัว
       เจิดชักปืนออกมาขู่ “มีใครจะซ่าอีกมั๊ย เปิดคอก ต้อนวัวขึ้นรถ”
       คนงานรอบๆ ออกอาการเลิ่กลั่ก ถวิลนั่งกุมท้อง เช็ดเลือดที่ปาก
       เวลานั้นปานเทพขับรถเข้ามากับใหญ่
       “จอดให้ฉันลงตรงนี้ละ” ใหญ่สั่ง
       “อ้าว ลงทำไมตรงนี้วะ ขับไปให้ถึงหน้าบ้านเลย เปิดตัวแบบอลังการอย่างแกว่าไง หลักฐานอะไรก็มีครบ ฉันสาธยายเอง รับรองว่าไสหัวทุกคนออกจากไร่ได้วันนี้เลย” ปานเทพโวยวายตามประสา
       ใหญ่บอก “มันง่ายไป”
       ปานเทพเกาหัว “อะไรอีกวะ ตกลงแกจะเอาไงเนี่ย”
       “ฉันยังไม่อยากไล่ใครออกไป ไร่ตั้งกว้างใหญ่ อยู่คนเดียวเหงาตาย แกไปรอที่เดิม มีอะไรจะส่งข่าวไป”
       ว่าแล้วใหญ่สะพายเป้กระโดดลงมาดอย่างเท่ ปานเทพบ่นงึมงำ
       “เอาอีกแล้ว ไอ้คุณใหญ่ เดี๋ยวซิวะ แล้วแกจะให้ฉันบอกพ่อว่าไง”
       ใหญ่ไม่ตอบมุดรั้วเข้าไร่ไปลิบแล้ว
       ปานเทพเซ็งสุดๆ “ไอ้บ้าเอ๊ย จะทำพิเรนทร์อะไรอีกวะ”
       
       ใหญ่เดินแบกเป้มาตามทาง เห็นรถบรรทุก 6 ล้อ ของเจิดและพวกวิ่งตะลุยฝุ่นตลบมาแต่ไกล
       ก้านเป็นคนขับรถ เจิดนั่งข้างๆ วัวเต็มกรงหลังรถ ก้านเห็นใหญ่ก็บีบแตรยาวไล่ให้หลบ ใหญ่มองๆ ไม่หลบ ตั้งใจเริ่มกวนตีนคนในไร่
       รถเบรกเอี๊ยด ก้านโผล่มาด่า “หูหนวกหรือไงวะ หลบไป”
       นอกจากใหญ่ไม่หลบ ยังมองเฉย เจิดโมโหกระโดดลงจากรถ
       “เอ็งเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนมายืนเกะกะขวางถนน”
       “แล้วพี่ชายล่ะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ถึงต้องให้ผมหลีก” ใหญ่กวน
       “ข้าเป็นลูกน้องผู้จัดการ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็หลีกไป”
       พอรู้ว่าเป็นพวกลูกน้องครองสุข ใหญ่ยิ่งกวนสนุก “แต่ฉันเมื่อยว่ะ อยากนั่งพักตรงนี้”
       ว่าแล้วใหญ่เอาเป้วางแล้วนั่งแหมะบนเป้ เจิดคำราม
       “เอ็งตั้งใจกวนส้นใช่มั้ยเนี่ย อยากโดนใช่มั้ย”
       
       ก้านมองอยู่ในรถ เห็นเจิด เข้าอัดใหญ่แต่ใหญ่หลบ แล้วซัดเจิดจนหมอบคาบาทา
       ก้านหยิบปืนจากเก๊ะกระโดดลง “เฮ้ย หยุด” ก้านเล็งปืนไปที่ใหญ่
       
       ครองสุขกดเครื่องคิดเลขอย่างมีความสุขวาดวิมานอยู่กับธีระในห้องทำงาน
       “แค่ขายสัตว์ทุกคอกออกไปก็ได้หลายแสนแล้ว ดีเลย ฉันไม่อยากเลี้ยงหรอก เหม็นสาบ สกปรก”
       “รื้อคอกสัตว์ออกแล้ว เราตั้งบ่อนเองยังได้ ในไร่ ในสวนแบบนี้ ไม่มีใครมาตรวจหรอก ลูกค้าที่รีสอร์ตก็วีไอพีทั้งนั้นรับรอง รวยไม่รู้เรื่อง”
       ครองสุขโอบธีระหน้าระรื่น
       “โอ๊ย พี่มีความสุขที่สุด ปีนี้ปีทองจริงๆ ได้ครอบครองไร่ไพศาล ตานะก็เรียนจบ แถมยังจะได้แต่งงานกับลูกปลัดกระทรวง มีแต่ยัยนีย์เท่านั้น” ครองสุขว่า
       ธีระอวยอีก “มีเงินซะอย่างเราจับคุณนีย์ใส่ตะกร้าล้างน้ำ ขี้คร้านจะหาหลานเขยรวยๆ ให้พี่ได้อีก”
       สองคนหัวเราะคิกคักกัน “ฉลาดๆ จริงนะผู้จัดการใหญ่”
       เสียงเจิดตะโกนเรียกดังลั่น “นายๆ”
       เจิดอยู่ในสภาพสะบักสะบอมโผล่พรวดเข้ามา ครองสุขกับ ธีระผละจากกัน
       “แกเป็นใคร พรวดพราดเข้ามาทำไม”
       “คนของผมเอง แล้วนี่ไปโดนอะไรมาวะ”
       ธีระหน้าตาตระหนก
       เจิดรีบบอก “มีคนมาขวางรถ ไม่ให้ขนวัวออกจากไร่ครับ”
       ธีระลุกพรวด “ใครวะ มากันกี่คน”
       “คนเดียวครับ มันอ้างว่าเป็นเจ้าของไร่ไพศาล มันยึดรถไป จับไอ้ก้านไปด้วย” เจิดรายงาน
       ครองสุขลุกตาม “จะบ้าเหรอ ชั้นนี่แหละเป็นเจ้าของที่นี่ มัน...มันไอ้โจร “ห้าร้อยที่ไหนกันแน่ กล้าดียังไง มาบุกไร่ของเรา”
       น้อยอยู่หน้าห้องถือไม้กวาดในมือชะงักกึก แอบฟัง
       ธีระยิ้มเหี้ยมประคองคุณนายลงนั่ง
       “ไม่ต้องห่วงครับ มาเดี่ยวๆ อย่างนี้ เดี๋ยวผมไปกระทืบมันเอง”
       ธีระหันไปต่อลูกกระจ๊อก “ใช้ไม่ได้ เดี๋ยวชั้นแสดงเอง”
       
       ธีระกับเจิดออกไปอย่างมั่นใจ ครองสุขเครียดจัด ผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ

----------------------------------------------------------------------

ปิ่นอนงค์มืดแปดด้าน ตัดสินใจมากู้เงินกู้นอกระบบ ที่สำนักงานของเสี่ยตง แต่เดินออกมา สีหน้าผิดหวัง พร้อมกับหันกลับไปมอง ยินเสียงพนักงานชายลูกน้องเสี่ยดังก้องในหัว       
       “จะกู้เงินตั้งสามแสนมันต้องมีอะไรมาค้ำ แค่เป็นคนงานไร่ไพศาล เครดิตมันไม่พอหรอก
       ปิ่นถอนใจ เดินต่อ สวนกับเสี่ยตงและลูกน้อง เสี่ยตงมองอย่างพึงใจ
       “สวยว่ะ เมียใครวะ”
       ลูกน้องคนที่เคยไปตามใหญ่ มองตาม นึกได้
       “หน้าคุ้นๆ อ๋อ เป็นลูกสาวแม่บ้านไร่ไพศาลน่ะเสี่ย”
       เสี่ยตง “แล้วมาทำอะไรที่สำนักงานอั๊ววะ”
       
       ครู่ต่อมาปิ่นอนงค์ยืนรอจะข้ามถนนกลับไปโรงพยาบาล ลูกน้องเสี่ยงตงเข้ามาหา
       “น้องๆ”
       ปิ่นอนงค์มอง จำได้ “คะ”
       ลูกน้องเสี่ยถาม “น้องจะกู้เงินมั้ย”
       ปิ่นอนงค์อึ้ง “คุณรู้ได้ไง”
       “ก็สำนักงานที่น้องไปติดต่อมันของเสี่ยตงนายพี่ นายอยากคุยกับน้อง”
       “ฉันแค่ถามเฉยๆ ยังไม่กู้หรอกค่ะ”
       ปิ่นอนงค์จะเดินหนี ลูกน้องเสี่ยจับมือรั้งไว้ “ไปคุยหน่อยเผื่อเสี่ยใจดีไม่คิดดอก ไป”
       ปิ่นอนงค์ไม่พอใจสลัด “ไม่ค่ะ ฉันไม่ไป”
       ระหว่างนั้นจอมขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาพอดี
       “เฮ้ย ทำอะไรวะ”
       ปิ่นอนงค์สลัดจนหลุด วิ่งไปซ้อนท้ายจอม “มันเป็นใคร” จอมสงสัย
       “ไม่มีอะไรรีบไปเถอะจอม”
       จอมออกรถไป ลูกน้องเสี่ยมองตามอย่างขัดใจ
       
       จอมแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแถวนั้น ไม่เชื่อที่ปิ่นบอก
       “ทักคนผิดเหรอ จอมว่ามันจะลวนลามมากกว่าถึงมาฉุดไม้ฉุดมือ ดีนะที่จอมออกมาซื้อน้ำมัน แล้วปิ่นไปทำอะไรแถวนั้น”
       “ปิ่นไปกดเงินน่ะ”
       “พูดถึงเงิน ไร่ไพศาลคงจะแย่จริงๆ ขนาดค่าน้ำมัน พวกเรายังต้องเรี่ยไรเงินมาซื้อกันเลย ปิ่นรู้มั้ยคุณนายเอาเงินไปทำอะไรหมด” จอมบ่นอุบ
       “คงแค่หมุนเงินไม่ทันนะ ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”
       จอมเหน็บ “ไม่ใช่ไปเสียในบ่อนหมดเหรอ”
       “อะไรนะ” ปิ่นตาค้าง ไม่รู้เรื่องนี้
       โทรศัพท์ปิ่นอนงค์ดังขัดจังหวะ ปิ่นอนงค์กดรับ
       “ฮัลโหล...จอมอยู่กับพี่ เดี๋ยวพี่จะวานให้ไปส่งที่โรงพยาบาล มีอะไรน้อย” ปิ่นอนงค์มีสีหน้าตกใจ “ฮะ มีโจรบุกมาปล้นวัวงั้นเหรอ”
       ปิ่นอนงค์มองหน้าจอมสองคนตกใจพอกัน
       
       ใหญ่ขับรถ 6 ล้อ กลับเข้ามาจอดหน้าคอกวัว แล้วก้าวลงจากรถมาขยับไม้กั้นประตูคอก อาการงงๆ ท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ทำไม้กั้นตกหล่น
       ใหญ่เกาหัว ยืนเพ่งพินิจ ดูสลักไม้ที่กั้นประตู พยักหน้าเข้าใจ
       มีแคบไม้หน้าสามตีมาหมายหัวใหญ่ แต่ใหญ่หมุนตัวหลบฉาก จับไม้ได้ ยื้อแย่งกับเปี๊ยก
       หวานเอาเสียมมาช่วยตีใหญ่ เจอรุมเข้าใหญ่ต้องกระโดดหลบเข้าไปในคอกวัว
       “เฮ้ย ใจเย็นๆ ชั้นจะมาเอาวัวเข้าคอก”
       “แกเป็นพวกไหน ลูกน้องไอ้ธีระอีกหรือเปล่า” หวานถาม
       เปี๊ยกใบ้จอมบึกส่งสัญญาณให้หวานลุย ไม่ต้องคุย
       ใหญ่จำได้ ทำภาษาใบ้ ชี้เปี๊ยก แล้วชี้หน้าตัวเอง
       “เดี๋ยวๆ ชั้นไม่ใช่ลูกน้องใคร เราพวกเดียวกัน”
       หวานตอบแทน “ฉันไม่เคยรู้จักแก”
       “เดี๋ยวก็รู้จัก มาช่วยกันต้อนวัวเข้าคอกก่อน ชั้นทำไม่เป็น ไม่ถนัด เคยเห็นแต่พวกคนงานทำตอนชั้นเด็กๆ”
       ใหญ่เดินไปเปิดกระบะท้าย เห็นก้านถูกมัดอยู่ในนั้น ใหญ่กระชากก้านลงมากลิ้งหลุนๆ กับพื้น เปี๊ยกกะหวานมองอึ้งๆ แล้วส่ายหน้า ใหญ่สั่งการ
       “สามคนคงเอาไม่อยู่ ไปตามคนงานมาช่วยกันหน่อยสิ”
       สองคนมองกันงงหนัก
       จังหวะนั้นธีระขับรถเข้ามาจอด มีคนงานตามมาด้วย มองใหญ่ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
       ธีระลงจากรถ เดินนำลูกน้องเข้ามา ชี้หน้าใหญ่
       “แกใช่มั้ย ที่มายึดรถ จะขโมยวัวของเรา”
       เปี๊ยกจ้องใหญ่รอฟัง
       “ใช้คำผิดแล้วมั้ง ของของฉัน ทำไมฉันต้องขโมย”
       ธีระตอกกลับ “แกบ้าหรือเมาวะ วัวพวกนี้มันเป็นของไร่ไพศาลโว้ย”
       “ก็ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ ฉันพูดผิดตรงไหน” 
       ธีระหัวเราะขำกลิ้ง “ฮะๆๆ ถ้าสารรูปอย่างแกเป็นเจ้าของไร่ไพศาล ฉันก็เป็นเจ้าสัวแล้วโว้ย เฮ้ย... พวกเราจับมัน”
       “เดี๋ยว คิดให้ดี ทำร้ายเจ้าของบ้าน ติดคุกสถานเดียว”
       คนงานลังเลสบตากันเลิ่กลั่ก กล้าๆ กลัวๆ ธีระสั่งเข้ม “ใครไม่กล้า กูไล่ออก”
       คราวนี้คนงานต่างหยิบฉวยอาวุธ มีด พร้า จอบ เสียม รายล้อมใหญ่
       ใหญ่ส่ายหน้าระอาใจเหลือหลาย คว้าไม้รวกต้อนวัวเป็นอาวุธ
       คนงานเข้าตี ใหญ่หลบหลีกแคล่วคล่อง เอาไม้ตีก้นบ้าง ปัดขาให้ล้มบ้าง เตะ ถีบ พอให้เจ็บท้วมๆ
       แต่พอเข้าใกล้ก้าน ใหญ่จัดหนัก ใส่เต็มๆ เลือดกระเด็นจากปากก้าน
       เปี๊ยกกะหวาน ออกอาการกล้าๆ กลัวๆ
       ในช่วงชุลมุนนั้น ธีระชักปืนลูกโม่จากเอว เดินก๋าแหวกวงล้อมเข้าหาใหญ่ ทุกคนชะงักถอยกรูดพร้อมหน้า
       ใหญ่ชะงัก ธีระถือปืนเดินเข้าหา เห็นใหญ่เช็ดเหงื่อ ธีระเยาะ วางกล้ามตามนิสัย
       “กลัวตายล่ะซิ โดนหลายข้อหาแน่มึง”
       ใหญ่จับปืนในมือธีระหักออกด้านนอกตัว ธีระงอตัว ทรุดเข่า กระดูกแทบหัก
       ใหญ่ก้มกระซิบข้างหู “ปืนถ้าชักแล้วต้องยิง จำเอาไว้”
       ใหญ่ค่อยๆ ปลดปืนจากมือธีระ เตะเข้าที่หน้าอกธีระสามที แล้วปล่อยมือธีระหงายเงิบไป
       หวานกะเปี๊ยกลืมตัว เชียร์อย่างสะใจ
       ทางด้านครองสุขยังไม่รู้ชะตายิ้มแย้มคุยโทรศัพท์ทรรศนะที่อยู่ในย่านช้อปปิ้งเมืองนอก
       “ได้เงินแล้วใช่มั้ยตานะ ยังไงแสนนึงนี่ใช้ให้พอจนกลับนะ ตกลงจะกลับวันไหนแน่ น้าจะได้ไปรับ....อู๊ย ไม่ลำบาก จะได้เจอแฟนแกด้วย เห็นแต่ในรูป”
       มีเสียงเคาะประตู น้อยเปิดเข้ามาหน้าตื่น
       ครองสุขเอามือปิดโทรศัพท์ตรงที่พูด “มีอะไรนังน้อย บอกแล้วนะว่าถ้าไม่อนุญาตห้ามเข้ามา”
       “แต่คุณธีระให้มาเชิญคุณนายลงไปพบข้างล่างค่ะ” น้อยรีบบอก
       “ฉันคุยทางไกลเมืองนอกอยู่รอก่อน”
       “คงไม่ได้หรอกค่ะ คุณธีระถูกโจรจับตัวอยู่ข้างล่างค่ะ”
       คุณนายครองสุขผงะปล่อยมือจากโทรศัพท์ที่เอามือปิดเสียงอยู่ ลุกยืน
       “หา...ถูกโจรจับ”
       ทรรศนะได้ยิน ตะโกนอยู่ในสาย “อะไรนะครับแม่ แม่ครับๆ”
       ครองสุขตกใจมาก ออกอาการเลิ่กลั่ก ยกหูฟังต่อ สับสนไปหมด
       “ไม่มีอะไรตานะ ไม่มีอะไร มีลูกค้าวีไอพีมาที่รีสอร์ต น้าต้องรีบไปต้อนรับก่อน”
       ครองสุขวางหู
       
       ช็อปใหญ่ขายของแบรนด์เนมที่เมืองนอกเวลานั้น ทรรศนะมาแอบหลบมุมโทรศัพท์อยู่ อรสอางค์เดินตัวปลิวเข้ามา หิ้วเดรสสวยชุดหนึ่งมาด้วย
       “ถูกใจมั้ย” ทรรศนะถามเอาใจ
       “ที่สุดเลย ไม่น่าเชื่อ พอดีเป๊ะ มีตัวเดียวด้วย โชคดีจริงๆ ใช้การ์ดของนะนะ ของอรเต็มแล้ว”
       “ไม่มีปัญหาจ้ะ เท่าไหร่จ๊ะ”
       “แค่สี่พันเหรียญเอง” อรสองค์หันไปบอกพนักงานขาย “ไอ เทค ดิส วัน - ฉันเอาตัวนี้”
       “สี่พันเหรียญ!” ทรรศนะพึมพำคิดในใจ “แสนกว่าบาท!”
       ทรรศนะซีด คิดหาทางออก จับแขนอรสอางค์ “อร”
       อรสอางค์เหลียวมามอง “หือ”
       “เอ่อ.....คือว่า ผมว่าอย่าเพิ่งซื้อชุดนี้เลย”
       “เพราะอะไร อย่าบอกว่าลืมเอาการ์ดมา อรบอกแล้วไงว่าวันนี้อรจะขอใช้ของนะ” อรสอางค์ชักสีหน้า
       “ไม่ใช่จ้ะ ผมเพิ่งจำได้ว่าวันก่อนนะเห็นคุณนิตลูกสาว นายเจต เสี่ยค้าทองก็ใส่ชุดนี้ เดี๋ยวกลับเมืองไทยแล้วใส่ไปเจอกันอรจะเซ็งเปล่าๆ”
       “จริงเหรอ เบื่อเศรษฐีใหม่ พวกนี้จริงๆ สักแต่มีเงิน ไม่ดูสารรูปตัวเองว่าจะทำแบรนด์เค้าตกต่ำขนาดไหน” ได้ผล
       พนักขายถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ “จะใช้การ์ดหรือเงินสดคะ”
       อรสอางค์ตอบกลับเป็นอังกฤษ ตำหนิอย่างมีอารมณ์ “ฉันไม่ซื้อแล้ว ทีหลังยูจะขายของก็ควรจะเลือกลูกค้าด้วยนะ”
       อรสอางค์เดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย พนักขายงงยืนเซ่อ
       ทรรศนะโล่งอก พูดกับพนักงานขาย “ซอรี่” ตามแฟนสาวไป
       
       ครองสุขเดินนำหน้าน้อยมา บ่นอย่างเซ็งๆ “จะโดนโจรจับได้ยังไง คนของเราในไร่ตั้งกี่คน”
       แต่ต้องชะงัก ตาค้าง “ว้าย...”
       เห็นใหญ่ล็อกแขนธีระไพล่หลังหมดสภาพ ยืนมองนู่นนี่อยู่กลางโถง
       ครองสุขจับกระชากตัวน้อยมายืนบังหน้า แล้วร้องโวยวาย “เรียกพวกคนงานสิ ช่วยด้วยๆ”
       ธีระยังปากดี “เรียกพวกมันมาก็ไร้ประโยชน์ เรียกตำรวจเลยดีกว่าครับ”
       ครองสุขรีบกดโทรศัพท์ มือไม้สั่นไปมา
       ใหญ่ผลักธีระไปหาคุณนาย “คุณน้า รู้จักผู้ชายคนนี้ด้วยเหรอครับ”
       “ชั้นๆ ไม่ใช่น้าแก”
       ใหญ่เอาปืนธีระออกมา เทลูกปืนออกใส่มือ แล้วเอาไปวางที่โต๊ะทั้งปืนและลูก
       “ทำมาก้าวร้าวกับผม เพิ่งมาอยู่ใหม่ล่ะสิ ไม่เคยเห็นหน้า”
       “แก แกเป็นใคร”
       ใหญ่หันมามองครองสุข “น้าครองสุข นี่จำผมไม่ได้จริงๆ เหรอ”
       ธีระกล้าๆ กลัวๆ ชี้หน้าใหญ่ “มันบอกว่า ชื่อชาลิต มันคือใหญ่ คุณใหญ่”
       ครองสุขขบกรามแน่น แล้วหัวเราะ
       “ชาลิตเหรอ คุณใหญ่เหรอ เค้าหายสาปสูญไปตั้งนานแล้ว”
       พลางครองสุขมองใหญ่หัวจรดเท้า “แกไม่ต้องมาทำแอบอ้าง หน้าอย่างแก สภาพอย่างแกเนี่ยนะทายาทของคุณไพศาล”
       ระหว่างนั้นถวิลกระหืดกระหอบเข้ามาในมือถือปืนยาว เปี๊ยก หวานตาม
       “จะมากไปแล้ว จะเป็นคนบ้าคนดีไม่รู้ แต่ให้มันมาเหยียบจมูกคนไร่ไพศาลกันแบบนี้ไม่ได้ ไหนมันอยู่ไหน คุณนาย ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา ให้คนมาลากไอ้นี่ไปส่ง...” ถวิลมองใหญ่เอาเรื่อง “ตำรวจเดี๋ยวนี้”
       ถวิลจ้องปืน ใหญ่เดินเข้าหาแล้วจับปืนไว้ กดปลายปืนลง ถวิลงง
       “สวัสดี นายหวิน ไม่เจอกันตั้งนาน”
       ถวิลอึ้ง “รู้จักฉันได้ไง”
       “นายหวินจำฉันไม่ได้ แต่ฉันจำนายหวินได้แม่น นายหวินสอนให้ฉันรีดนมวัว แต่ก็โดนวัวเตะซะเอง”
       ถวิลอ้าปากค้าง
       “พอฉันอยากขี่ม้า ฉันให้นายหวินสอน จนนายหวินถูกม้าเตะอีก”
       ถวิลทรุดนั่งคุกเข่ากับพื้นด้วยความตื่นตันใจ “คุณใหญ่ คุณใหญ่จริงๆ ด้วย”
       คุณนายหรี่ตาครุ่นคิดเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงเจิงอะไรกัน แกก็บ้าไปอีกคนแล้วเหรอ”
       ใหญ่หันกลับเดินเข้าหา คุณนายครองสุขถอยกรูดติดกำแพง
       “แก แกจะทำอะไร”
       “ถ้าคุณน้าไม่เชื่อก็ทดสอบผมมา ผมตอบคุณน้าได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของคุณน้ากับคนงานที่ชื่อไอ้ผา”
       
       ครองสุขหน้าซีดมองตาค้าง ใหญ่ยิ้มเยาะ

--------------------------------------------------------------

ขณะนั้นที่บริเวณหน้าเรือนใหญ่คนงานจับกลุ่มกันแบ่งเป็นสามกลุ่ม เจิดและก้าน นั่งอยู่มุมหนึ่ง ถวิลเดินขรึมออกมา       
       ปิ่นอนงค์กับจอมเข้ามา รถตำรวจตามติดๆ เข้ามาจอดรถหน้าเรือน ปิ่นอนงค์กับจอม วิ่งไปดึงถวิลออกมา ตำรวจมองสำรวจประเมินสถานการณ์
       “โจรอยู่ไหนลุงหวิน”
       ถวิลส่ายหน้ามองไปที่เรือน
       ระหว่างนั้นน้อยเดินออกมาแอบข้างประตูจอมบอก
       “ปิ่น ดูพ่อด้วย ไปครับคุณตำรวจ”
       จอมกับตำรวจท้องที่เตรียมพร้อมจะลุยเข้าบ้านถวิลบอก “ไม่ต้องไอ้จอม” จอมงงๆ
       จังหวะนั้นธีระเดินกุมอกกุมท้องออกมาฝืนยิ้ม โบกไม้โบกมือ
       “ไม่มีอะไรครับ คุณตำรวจ มีการเข้าใจผิดกันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคนงานเก่ากับคนงานใหม่เคลียร์กันเรียบร้อยแล้วครับ”
       ปิ่นอนงค์มองหน้าจอม คนงานมองหน้ากัน งงไปทั้งแถบ
       
       ปิ่นอนงค์ลากน้อยเข้ามาในครัวถามทันควัน “มันยังไงกันน้อย ไหนบอกว่าโจรบุกไร่ไพศาล แล้วเรื่องจริงมันเป็นยังไงกันแน่”
       “ก็ตอนแรกเป็นโจร ตอนหลังกลายเป็นคุณชาคริต เอ๊ย ชาลิตทายาทไร่ไพศาล”
       ปิ่นอนงค์ตกตะลึงตาค้าง “คุณใหญ่ คุณใหญ่กลับมาที่นี่”
       
       ด้านใหญ่เดินเอามือไพล่หลัง สำรวจห้องหับดูโน่นดูนี่ในตู้โชว์ ครองสุขเดินตามเลิ่กลั่ก
       “ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยนะครับ”
       ใหญ่เดินไปหยุดมุมห้อง ชี้ไปตรงที่ว่างๆ เหน็บอยู่ในที
       “ตู้ฝังมุกตรงนี้ ชั้นไม้ฉลุลายตรงนั้น แล้วงาช้างคู่มันหายไป”
       ครองสุขบอก ก่อนจะย้อนถามอย่างคาใจ
       “ก็...ก็มันหลายปีแล้วนี่ อะไรๆ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป คุณ....คุณใหญ่กลับมาทำไม”
       “อ้าว....ก็นี่บ้านผม ผมออกไปผจญเวรผจญกรรมมาตั้งนานก็คิดถึงบ้านเป็นธรรมดา”
       ครองสุขยิ้มเยาะ “เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว เราควรจะลืมอดีตไปซะ ต่างคนต่างอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ไปจากที่นี่ซะเถอะคุณใหญ่ อย่าลืมซิคุณใหญ่ยังมีคดีฆ่าคนตายติดตัวอยู่นะ”
       “ขอบคุณ คุณน้าที่เป็นห่วงผม”
       ใหญ่หยิบซองเอกสารที่พับอยู่ขอบหลังกางเกงออกมา โยนตรงหน้า ครองสุขงงปนตกใจ
       ใหญ่ชี้ซองเอกสารที่พื้น พูดเย้ย
       “ว่างๆ ก็เอาไปอ่านดู แล้วคุณน้าจะรู้ว่า ผมน่าจะกลับมาไร่ไพศาลตั้งนานแล้ว”
       ครองสุขมองซองใบนั้นงงๆ เก็บขึ้น “วันนี้ผมเหนื่อยมามากพอแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนที่ห้องก่อน”
       “นี่ เดี๋ยว...” ครองสุขเรียกแต่ใหญ่เดินขึ้นชั้นบนแล้ว
       ปิ่นอนงค์เข้ามา “คุณนายคะ คุณใหญ่กลับมาไร่ไพศาลจริงเหรอคะ”
       “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นตัวจริงหรือเปล่า แกขึ้นไปเฝ้ามันไว้”
       ครองสุขสั่งเสร็จก็เดินถือซองออกไป ปิ่นอนงค์เหวอ
       
       ปิ่นอนงค์เดินมา ท่าทีหวาดกลัว มองๆ ไม่รู้ว่าใหญ่อยู่ห้องไหน
       “อยู่ห้องไหนนะ”
       ปิ่นอนงค์เปิดห้องนั้น ห้องนี้ก็ไม่เจอ แล้วสายตามองเห็นว่าห้องทรรศนะ แง้มไว้ เลยค่อยๆ ส่องหน้าไปดู แต่ในห้องไม่มีใคร ปิ่นเปิดประตูเข้าไป มองรอบๆ ชะโงกไปดูในห้องน้ำ ไม่มีคนอีก ปิ่นหันกลับมาใหญ่ยืนอยู่ ถอดเสื้อนอกออก เหลือแต่เสื้อกล้าม ปิ่นตะลึง
       “นะ นะนาย”
       ใหญ่กะลิ้มกะเหลี่ยใส่ “ไง สาวน้อย...” สองคนเถียงกัน
       “นายเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง”
       “คราวนี้เดินเข้ามาทางประตู”
       “นายย่ามใจมากไปแล้ว นายคงหนีออกไปได้ไม่ง่ายเหมือนเมื่อคืนแน่”
       “ฉันคงไม่หนีแล้วละ คงจะอยู่ที่นี่เลย” ใหญ่บอก
       “อย่าบอกนะ ว่า...นี่นายมาแอบอ้างว่าเป็นคุณใหญ่เหรอ”
       “เฮ้อ ความจำเธอนี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ จากกันแค่สิบปีก็ลืมฉันซะแล้ว ขนาดฉันยังจำเธอได้แม่นเลย ปิ่นอนงค์”
       ปิ่นอนงค์ส่ายหัว ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ
       “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ นายเป็นโจร นายปล้นฉัน”
       “ฉันคืนของให้เธอครบทุกอย่างจะเรียกปล้นได้ไง”
       ว่าแล้วปิ่นอนงค์คว้าเชิงเทียนหลังตู้ออกมาขู่ “ออกไปซะ ไม่งั้นฉันจะร้องตะโกนเดี๋ยวนี้”
       “แผลจากมีดของเธอยังไม่แห้งเลย จะเพิ่มแผลให้ฉันอีกแล้วเหรอ ใจร้ายจริงๆ”
       ใหญ่เดินเข้าหา ปิ่นอนงค์เงื้อเชิงเทียนฟาด ใหญ่จับไว้แล้วอีกมือกระชากร่างปิ่นอนงค์เข้ามา บิดมือจนเชิงเทียนตกไป ยื่นหน้าไปใกล้
       ปิ่นอนงค์ร้องลั่น “อย่า…”
       “ฉันเป็นโจรนะ เธอยั่วโมโหฉันแบบนี้ฉันคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆแล้วละ อยากให้ลงโทษยังไงดี ข่มขืน หรือฆ่าหมกศพในช่องแอร์”
       ใหญ่กำมือทำท่าจะบีบคอ ปิ่นอนงค์หลับตาปี๋น้ำตาไหล ใหญ่สงสารคลายมือ
       “เธอนี่มันหลอกง่ายตามเคยนะ ยัยปิ่น ปอดแหก”
       
       ปิ่นชะงักลืมตามองใหญ่เขม็ง พร้อมๆ กับที่ภาพจำสมัยวัยเด็กผุดขึ้นมาในหัว
       
       ตอนกลางวัน วันนั้น ใหญ่ซึ่งตอนนั้นเป็นวัยรุ่น นั่งหน้าเครียดอยู่ที่ศาลา ปิ่นอนงค์เดินถือถาด มีข้าว กับแกงถ้วยหนึ่งกลัวๆ
       “คุณใหญ่คะ แม่ให้เอาข้าวมาให้คะ”
       “ฉันไม่กิน”
       “แต่คุณใหญ่ไม่กินข้าวมาทั้งวันแล้วนะคะ แม่บอกว่า ถ้าโมโหด้วย หิวด้วยจะเป็นโรคกระเพาะ”
       ใหญ่มองปิ่น นึกเอ็นดูนิดนึง แล้วคิดจะแกล้ง “ฉันจะรู้ได้ไง ว่าพวกเธอไม่ใส่ยาพิษมาในอาหารนี่”
       “ไม่หรอกค่ะ แม่ไม่ใส่ยาพิษหรอก เมื่อกี๊แม่ก็ให้ปิ่นชิม ปิ่นยังไม่ตายเลย”
       ใหญ่หรี่ตาแกล้งต่อ คว้าข้าวมาตักแกงใส่กินเคี้ยวแล้วทำท่าชะงักพ่นข้ามา กุมท้องลงไปชักดิ้นชักงอ
       “คุณใหญ่ คุณใหญ่เป็นอะไรคะ”
       ใหญ่บอกเสียงกระท่อนกระแท่น “เธอ วาง ยา พิษ ฉัน ...ฉันจะฆ่าเธอ”
       ใหญ่ยื่นมือตะเกียกตะกายน่ากลัว “ไม่ อย่านะคะ ปิ่นไม่รู้เรื่อง ฮือๆๆ ปิ่นกลัวแล้ว”
       ปิ่นหลับตาไหว้ปลกๆ ใหญ่ทนไม่ไหวระเบิดหัวเราะออกมา ปิ่นงง
       “ยัย ซื้อบื้อ หลอกอะไรก็เชื่อ ยัยปิ่น ปอดแหกฮ่าๆๆๆ”
       
       คำพูดล้อนั้นดังก้อง ดึงปิ่นอนงค์กลับมา และเชื่อว่าเป็นใหญ่จริง “คุณใหญ่”
       “จำฉันได้แล้วเหรอ ยัยปิ่นปอดแหก ดีงั้นก็มาผสมน้ำให้อาบหน่อย เหนียวตัวมาก”
       ใหญ่หันหลังให้ทำท่าจะถอดเสื้อ ปิ่นอนงค์ถอยกรูดไปที่ประตูแล้วเปิดวิ่งออกไปเลย
       ใหญ่เรียกตามหลัง “ปิ่น”
       
       ใหญ่หันไปมองปิ่นอนงค์หายไปแล้ว ใหญ่รู้ว่าหนี ยิ้มออกมา ชอบใจนัก
       
       ปิ่นอนงค์วิ่งกระเซอะกระเซิงลงมาชนโครมจนน้อยหงายท้อง
       “อู๊ย พี่ปิ่น วิ่งหนีอะไรมาเนี่ย”
       “ขอโทษ น้อย ขอโทษ”
       ปิ่นหน้าตาตื่น น้อยมองสังเกตจับกิริยา “หรือว่า พี่ปิ่นถูกคุณใหญ่ไล่ปล้ำ”
       “บ้าเหรอน้อย ไม่ใช่อย่างงั้นซะหน่อย”
       “ก็เห็นสภาพยู่ยี่แบบนี้...พูดจริงๆนะ คุณใหญ่เนี่ยยังกะพวกโจรในหนังไทย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกชายเจ้าของไร่”
       ปิ่นอนงค์จุ๊ปาก “ชู้ว์ น้อยอย่าพูดแบบนี้อีกนะ” ปิ่นอนงค์ออกอาการกลัวมาก “ถ้าไม่อยาก...” ใจจริงอยากจะบอกว่าเจ็บตัว แต่ไม่กล้าพูด “เดือดร้อน...”
       น้อยพลอยกลัวไปด้วย พูดกระซิบเสียงเบาๆ “พวกคนงานบอกว่าคุณนายกับคุณใหญ่เกลียดกันอย่างกะอะไร แล้วคุณใหญ่ยังจะให้พวกเราอยู่ที่นี่เหรอพี่ปิ่น”
       
       นั่นสินะ...ปิ่นอนงค์เองชักเป็นกังวล

-----------------------------------------------------------------------

 ครองสุขหอบซองเอกสารมาโผล่ที่บ้านพักธีระ อ่านหลักฐานที่ใหญ่ให้มา แล้วต้องตกใจ
       “อะไรกันเนี่ย นี่มันสืบเรื่องไอ้ผาขนาดนี้เชียวเหรอ”
       ธีระงง “อะไรพี่”
       ครองสุขโยนไปบนโต๊ะ ธีระเก็บมาดู อ่าน
       “หลักฐานการตายของนายผา พากเพียร เอ๊ะ นี่มันคนงานที่ไอ้คุณใหญ่ฆ่าตายไม่ใช่เหรอ ทำไมในนี้บอกว่า มันถูกรถชนตาย”
       ธีระมองหน้าครองสุขเขม็ง “พี่มีอะไรปิดบังผมรึเปล่า”
       
       ครองสุขนิ่ง นึกถึงเหตุการณ์หลังตนบอกว่าผาตาย จนใหญ่หนีเตลิดไป แท้จริงแล้วผายังไม่ตาย
       
       ภายในห้องผู้ป่วยโรงพยาบาลคืนนั้น ครองสุขนำผามารักษาตัว โดยบอกไพศาล และให้การกับตำรวจว่าตนถูกใหญ่ทำร้าย และผาเข้ามาช่วยจึงถูกแทง
       ตำรวจ 2 นาย ยืนคุยกันอยู่ ขณะที่ครองสุขสะอื้นซับน้ำตา
       ส่วนผานอนอยู่บนเตียง เห็นชัดว่ามีผ้าพันแผลที่ซอกคอ พยาบาลให้เลือด และน้ำเกลือ หน้าตาอิดโรย
       นายตำรวจยศ ร.ต.ท. เจ้าของคดีจดบันทึกในสมุดโน้ต ขณะฟังคำให้การไป
       “นายผาให้การกับผมว่า คุณใหญ่จะทำร้ายคุณครองสุข” จดไปเป็นระยะ “นายผาเข้าห้ามปราม เลยถูกแทง”
       ไพศาลสวนออกมา “ถึงไอ้ใหญ่มันจะอารมณ์ร้อน แต่มันไม่ใจร้ายถึงกับฆ่าคนหรอกผมเชื่อ”
       ครองสุขได้โอกาสสร้างภาพ “ฉันเองก็ไม่ถือสาหรอกค่ะ เราไม่เอาเรื่องคุณใหญ่ไม่ได้เหรอคะ”
       “ไม่ได้หรอกครับ นี่เป็นคดีอาญา ผมอยากให้ทางคุณร่วมมือกับตำรวจด้วย ถ้าลูกชายคุณติดต่อมา ขอให้แจ้งผมทันที”
       
       หลังผู้หมวดหนุ่มออกไปแล้ว ไพศาลหันมามองครองสุขหน้าเครียด สลับกับมองผาที่เตียง
       “ถึงใหญ่มันจะเกเรยังไง ผมก็รู้จักลูกของผมดี ไอ้ผามันต้องปิดบังอะไรแน่ๆ”
       “คุณ... คุณไม่ไว้ใจชั้น คุณใหญ่เกลียดชั้น จะฆ่าชั้น” ครองสุขร้องไห้ฟูมฟายโมโห “คุณยังมาสงสัยอะไรอีก ใช่ซิเลือดมันต้องข้นกว่าน้ำอยู่แล้ว ฮือๆๆ”
       “ไม่เอาน่า ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณเลย”
       ไพศาลอึ้ง จุกอก ซวนเซ ครองสุขหน้าตื่นเข้าประคอง
       “คุณ... คุณไพศาล เป็นอะไรไปคะ เรียกหมอมั้ยคะ”
       ไพศาลฝืนตัว โบกมือ “ไม่... ไม่ต้อง”
       ขณะที่ครองสุขโอบเอวไพศาล หันไปสบตาสะใจกับผา
       
       อีกคืนหนึ่ง กลิ่นคาวโลกีย์คละคลุ้งอยู่ในโรงนาที่ถูกแปรเป็นรังรัก ครองสุขเสร็จกามกิจแล้ว ยืนแต่งตัว ติดกระดุม สอดส่องสายตาหวาดระแวง ใช้มือจับแต่งผมให้เหมือนปกติ ผานั่งใส่เสื้อ เห็นผ้าปิดแผลเลิกลง ครองสุขรีบบอก
       “หลบไปอยู่ที่อื่นสักพักก่อน ให้แน่ใจว่าไอ้ใหญ่ไม่กลับมา แล้วค่อยว่ากัน”
       ผาเข้ากอดข้างหลังพูดเสียงแผ่ว “ได้เป็นเจ้าของไร่เต็มตัวเมื่อไหร่ อย่าลืมผัวเก่าคนนี้นะจ๊ะ”
       “รีบๆ เข้าเถอะ เงินซ่อนเอาไว้ที่แทงค์น้ำหลังไร่ อย่าลืมล่ะ เดินอ้อมเขาไป เดี๋ยวใครเห็น”
       ผาจูบไซ้ซอกคอ ครองสุขยิ้มสะใจ
       
       ไม่นานต่อมา ผาเดินมาตามถนน ผ่านโค้ง ก้าวลงเนิน ขณะที่แลเห็นแสงไฟหน้ารถคันหนึ่งค่อยๆ โผล่จากโค้ง แต่แล้วรถคันนั้นก็เร่งความเร็วเต็มที่พุ่งเข้าหาผาทางด้านหลัง
       ผายินเสียงเร่งเครื่องรู้สึกตัว หันไปมอง ไฟสูงหน้ารถส่องเต็มหน้า ผาตกใจ
       พอชนจนร่างผากระเด็นหายไป รถเบรกเอี๊ยด ผานอนกระตุก ตะเกียกตะกาย ห่างจากหลังรถราวสิบเมตรเห็นจะได้
       รถถอยหลังทับผาซ้ำ ด้วยฝีมือครองสุขที่กำลังจับพวงมาลัยรถแน่น สีหน้าเหี้ยม มองอย่างสะใจ
       ครองสุขใส่เกียร์ขับรถออกไป โดยมีซากผานอนผิดรูปร่างแน่นิ่ง ตายอย่างน่าอนาถอยู่ตรงนั้น
       
       ธีระฟังแล้วอึ้งๆ ที่รู้ว่าครองสุขนั้นเหี้ยมโหดกว่าที่คิด
       “นายผาเป็นพ่อของทรรศนะกับทัศนีย์” ธีระเดาเอา
       “ใช่”
       ธีระเดาต่อ “แต่พี่ก็ฆ่าปิดปากนายผา ทั้งๆ ที่มันเป็นพ่อของลูกพี่”
       “ไอ้ผามันไม่เคยทำหน้าที่พ่อ ตั้งแต่พี่ได้กับมัน มันเอาแต่กินเหล้าเข้าบ่อน ผลาญสมบัติตระกูลพี่จนหมด พี่ถึงต้องซานมาเกาะไอ้ไพศาลไงล่ะ” ครองสุขคร่ำครวญ
       “แล้วจะทำยังไง ถ้าไอ้ใหญ่มันรู้ว่าเป็นฝีมือพี่ คนที่ต้องติดคุกก็คือพี่นะ”
       “มันจะไม่มีวันรู้” ครองสุขคำรามในลำคอ
       “ถ้าพี่คิดจะเก็บมัน ผมว่ายากแล้วล่ะ ตอนนี้ผมลงหนังสือพิมพ์ประกาศหาตัวมันตามขั้นตอนแล้ว ถ้ามันเกิดเป็นอะไรไป ตำรวจสงสัยเราแน่
       ครองสุขขัดใจนัก “ไอ้ใหญ่...ไอ้ตัวมาร” โมโหระเบิดอารมณ์ปัดของกระจาย “ฉันไม่มีวันยอมแพ้มันหรอก” เดินพล่านไปมา
       ธีระดูหลักฐานในมือ “ที่สำคัญ ผมสงสัยว่าจะมีคนที่มีฝีมือมาช่วยมัน ไม่งั้นมันจะไปได้เอกสารพวกนี้มาจากไหน”
       
       ปานเทพขับรถไปบนทางเบื้องหน้าอย่างกลุ้มใจ
       “ทำไงดีวะ ถ้าเข้าไปในไร่ ก็ต้องโดน ไอ้คุณใหญ่ด่า แต่ถ้าไม่ไปก็โดนพ่อด่า”
       บ่นไม่ทันขาดคำโทรศัพท์ดัง หน้าปลอดขึ้นมาหน้าจอ “พูดถึงก็มาตามคำเรียกร้องเลย...โทษนะพ่อ โทรศัพท์ขณะขับรถมันผิดกฎหมาย”
       ปานเทพไม่รับ เสียงชนหมาโครม ร้องเอ๋งๆๆๆๆ ปานเทพเบรกกึกทันที มองไปที่หน้ารถแล้วรีบลงไป
       ปานเทพบ่นอุบ “เวรแล้วไง”
       
       ปานเทพพาตัวเองและน้องหมา มาอยู่ในคลินิกรักษาสัตว์ ที่ตั้งอยู่ในสำนักปศุสัตว์อำเภอ ที่ทำงานของจินตนานั่นเอง แต่แยกส่วนออกมาต่างหาก
       สภาพไม่ต่างจากคลินิกรักษษสัตว์ของเอกชนทั่วไป เห็นอุปกรณ์ และรูปสัตว์ต่างๆ ติดบนผนังคลินิค ระหว่างนั้นปานเทพนั่งร้อนใจอยู่ ขณะที่จินตนาเดินอุ้มน้องหมาออกมา พันหาง พันขาแล้วหน้าตาจินตนาบูดบึ้ง อยู่ในเคาน์เตอร์ ปานรีบเดินยิ้มเข้ามาหา
       จินตนาหน้าดุถามหาเจ้าของ “สุนัขใครคะ”
       ปานเทพรีบรับ “ผมครับ ไม่ตายใช่มั้ย ค่อยยังชั่ว ค่ารักษาเท่าไหร่ครับ”
       “ที่ถูกคุณขับรถทับน่ะ ไม่เท่าไหร่ แค่หางเป็นแผล แล้วก็ขาหัก แต่อาการอื่นนี่ซิ”
       ปานเทพหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหน้ามุ่ย “อาการอื่นอะไรครับ”
       “คุณเลี้ยงน้องหมายังไง ทั้งพยาธิ เห็บหมัด ครบเลย ดีนะยังไม่มีขี้เรื้อน” ปานเทพอ้าปากจะเถียง จินตนาร่ายอาการต่อ “เลือดจาง แถมยังอาจจะเป็นลำไส้อักเสบ แสดงว่าอาหารการกินแย่มากๆ”
       ปานเทพเอ้ออ้า “คือ...” ยกมือพยายามจะขออธิบาย
       “สุนัขเค้ารักเจ้าของแค่ไหนคุณรู้มั้ย” จินตนาปัดมือปานเทพลง “เค้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์เลยนะถ้าไม่รักเค้าจริงก็อย่าเลี้ยงเค้าเลยคุณ”
       ปานเทพไม่ไหว ถูกสวดฝ่ายเดียว “หยุด”
       ปานเทพแค้นควักเงินพันหนึ่งวางให้เจ้าหน้าที่ที่เก็บเงินอย่างเหลืออด
       “ค่ารักษา แค่ขาหัก แค่นี้คงพอนะครับ” จากนั้นปานเทพก็รีบออกไป
       จินตนางงชะเง้อชะแง้ ร้องเรียกตามหลัง “อ้าว คุณๆ”
       
       ปิ่นอนงค์ กับน้อยกำลังจัดโต๊ะอาหาร มีจานเปลจากภัตตาคาร อาหารคาวหวานหลายจานห่อพลาสติค 
       “แปลกจริงนะพี่ปิ่น ในเมื่อคุณนายกับคุณใหญ่ไม่ถูกกัน ทำไมคุณนายถึงสั่งอาหารจากภัตตาคารมาเลี้ยงคุณใหญ่ขนาดนี้” ปิ่นกระซิบกระซาบ ตั้งข้อสังเกตปนสังกา
       “ยังไง คุณใหญ่ก็เป็นลูกเจ้าของไร่นี้ คุณนายท่านทำถูกแล้วละ”
       ครองสุขกับธีระเดินเข้ามา ครองสุขถาม “ทำอะไรกัน”
       น้อยรีบบอก แล้วถามต่อ “อาหารที่คุณนายสั่งเพิ่งมาถึงค่ะ คุณนายจะให้จัดกี่ทีคะ”
       “ฉันไม่ได้สั่ง เธอสั่งเหรอธีระ” ครองสุขหันมาถามธีระ
       “เปล่านี่ครับ”
       ครองสุขเหลียวขวับมาทางปิ่นอนงค์ “เอาอีกแล้วนังปิ่น แกใช่มั้ย นี่แกเป็นบ้าอะไร”
       “ปิ่น...” ปิ่นอนงค์อึกอัก
       “ทำไม แกดีใจมากเหรอที่ไอ้ใหญ่มันกลับมา ถึงกับจะจัดฉลองเนี่ย ฮะ ไปเลยเอาไปทิ้งให้หมด” ครองสุขด่าอย่างโมโหโกรธา
       “ทิ้งทำไมคะ ของดีดีทั้งนั้นเสียดาย”
       ครองสุขตวาด ทำท่าจะร่อนจาน “นังน้อย”
       เสียงใหญ่ร้องขัดขึ้นก่อน “โอ๊ย หิวๆ ๆๆๆ”
       ทุกคนหันไปทางเสียง ใหญ่ถอดเสื้อ นุ่งกางเกงเล ตัวเดียว เดินมาจากชั้นบน
       “โห อาหารมาแล้วก็ไม่บอก”
       ครองสุขยกจานค้าง ใหญ่เข้ามาดูๆ ยิ้มแฉ่ง “น่าสวาปามทั้งนั้น” ใหญ่รับจานมาจากมือครองสุข
       แล้วกระชากพลาสติคใสที่หุ้มจานออก เอาขาไก่มากัดกิน เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
       “อ้าว กินกันเลยซิ นั่งๆ ไม่ต้องเกรงใจ ของดีดีทั้งนั้น” ใหญ่เชื้อชวน
       “เอ้อ คุณใหญ่เป็นคนสั่งอาหารพวกนี้มาเหรอ” ครองสุขจ๋อย
       “ใช่ซิครับ แหม กลับมาบ้านทั้งที ก็อยากกินอะไรดี ดี กับเค้าบ้าง อดอยากปากแห้งมานาน...ปิ่นมา นั่งกินด้วยกัน”
       
       ใหญ่ไม่พูดเปล่าฉุดปิ่นลงนั่งข้างๆ ทุกคนมองหน้ากัน 

---------------------------------------------------------------

  สรุปครองสุขนั่งนิ่งอยู่หัวโต๊ะ ข้างหนึ่งเป็นธีระ ข้างหนึ่งเป็นใหญ่กับปิ่นอนงค์ มีใหญ่กินนั่นนี่อย่างเอร็ดอร่อย แต่คนอื่นกินกันแบบฝืนๆ 
       
       “เสียดายนะ ทรรศนะกับทัศนีย์ไม่อยู่กินด้วยกัน จะได้พร้อมหน้าพร้อมตา” ใหญ่ว่าขณะคำข้าวยังคาปาก
       “ความจริง คุณใหญ่ไม่น่าลำบากเสียเงินทองเลย อยากกินอะไรบอก น้าให้นังปิ่นทำให้ได้”
       “ไม่เอาหรอกครับ เดี๋ยวปิ่นอนงค์ใส่ยาพิษแก้แค้น ตอนเด็กๆ ผมชอบแกล้งเค้า”
       เจอมุกอำของใหญ่ปิ่นอนงค์สำลักน้ำพรวด
       “แหม คุณใหญ่ก็ ทำอย่างงั้นก็อกกตัญญูเต็มที ตั้งแต่คุณใหญ่ออกจากไร่ พวกเราก็ตามหาคุณใหญ่มาตลอดแต่ก็ไม่ได้ข่าวเลย” ครองสุขหวานใส่
       “ก็ตอนนั้น ผมมันเป็นฆาตกรฆ่าคนตาย ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปอยู่ชายแดนโน่น”
       “เอ้อ...แล้วที่ผ่านมาคุณใหญ่ทำอะไรบ้าง”
       ใหญ่ทำท่านิ่งคิด โพล่งขึ้น “โอ๊ย... หลายอย่างคุณน้า แต่ที่จำได้ไม่ลืมก็คือทำหมาส่งร้านอาหารที่ชายแดน”
       ปิ่นอนงค์งง กระแอมถาม “ยังไงเหรอคะ”
       “ก็เถ้าแก่เค้าจะหาหมาดำมาให้เรา หมาดำนี่ราคาดี เค้าว่าสรรพคุณทางการบำรุง สุดยอด” ใหญ่โว
       “ก็เคยได้ยินมาว่าอย่างนั้น”
       ครองสุขกับธีระตักข้าวเข้าปากมองสบตากัน
       ใหญ่คุยต่อ “ตอนฆ่ามันสิครับ สนุก ต้องจับใส่กระสอบ กดน้ำให้มันอ้วก ขี้ เอ๊ย... ขับถ่ายอุจจาระออกให้หมด พอเสร็จก็เอาขึ้น” ครองสุขฟังแล้วพะอืดพะอม ใหญ่ใส่ต่อ “มาจากน้ำ ล้างทำความสะอาดแล้วก็เอาใส่น้ำเดือดๆ ในปี๊บ ถอนขนเสร็จก็เอาขึ้นเขียง จับหงายตัดคอ แล่จากคอไปถึงก้น อู๊ย....” ใหญ่ซี๊ดน้ำลาย “เครื่องในนะครับ ต้มต้องใส่ตะไคร้เยอะๆ ไม่งั้นคาว”
       ถึงตรงนี้ครองสุขอ้วกแตก เอามือกุมปากวิ่งออกไป ปิ่นอนงค์มองตามอย่างเป็นห่วง
       “เห็นใจครับ เห็นใจ คนไม่เคยกินก็อย่างนี้แหละ”
       ใหญ่ตักกะเพราหมูสับพริกใบกะเพราเต็มช้อน
       “เออ จานเด็ดอีกอย่างก็ต้องกะเพราหมาสับ ต้องเอาลิ้นกับหูมันสับเข้าไปด้วย จะได้กรึบๆ”
       ใหญ่ตักเข้าปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย 
       ธีระไม่ไหวเช่นกันขอตัว “ขอตัวไปห้องน้ำเดี๋ยว”
       ปิ่นอนงค์มองตาม ใหญ่แอบยิ้มสะใจ
       ครองสุขซับปากหน้ากระจกห้องน้ำ น้ำตาคลอ ธีระเข้ามาเร่งรีบไปที่อ่างล้างหน้า เช็ด ปัด ล้างหน้า เสื้อผ้าไปมา สีหน้าขยะแขยง
       ธีระกระซิบกระซาบ “นี่เหรอ ทายาทไร่ไพศาล โคตรถ่อยเลยพี่”
       “มันถ่อย มันร้ายอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ที่เห็นนะ ออกจะหนักกว่าเก่าเยอะเลย คงไปสะสมสันดานสกปรกโสมมมาจากป่าเขา”
       “ดูแล้วมันจงใจแกล้งเราชัดๆ มันคงคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า”
       “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันมีไพ่อะไรอยู่ในมือ ตอนนี้ต้องทำดีกับมันไปก่อน รอดูท่าทีมัน”
       
       ที่ข้างเรือนพักคนงานเวลาต่อมา ทุกคนล้อมวงกินข้าวปิ่นโตกัน คุยกันเบาๆแต่เคร่งเครียด เปี๊ยกส่งท่าทางวุ่นวายกับคนงาน ถวิลนั่งขรึมมองกองไฟ เปี๊ยกสะกิดหวานหวานแปลทันที
       “ไอ้เปี๊ยกมันว่า พวกคนงานสงสัยว่าใช่คุณใหญ่จริงๆ รึเปล่าที่มาก่อเรื่องวันนี้”
       “ข้าแน่ใจว่าเป็นคุณใหญ่แน่ๆ” ถวิลบอกจริงจัง
       จอมสงสัย “แล้วคุณใหญ่หายไปไหนมาพ่อ ทำไมถึงเพิ่งกลับมา”
       “พ่อก็ไม่รู้ ตั้งแต่วันที่แกแทงคนงานแล้วหนีไป ก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย” ถวิลว่า
       “ฉันอยากเห็นหน้าคุณใหญ่จริงๆ อยากรู้ว่าหน้าตาท่าทางจะเป็นยังไง”
       ถวิลเสียงอ่อยๆ “คุณใหญ่เปลี่ยนไปมาก มากจนข้าจำแทบไม่ได้”
       หวานรีบเสริม “นั่นน่ะซิ คุณใหญ่ที่ฉันนึกภาพไว้ก็ไม่ใช่แบบนี้เลย”
       ถวิลไม่ตอบ ดูเครียดๆ กินข้าวเฉย
       
       ใหญ่ตบพุงเรอเสียงดังเอิ้ก แถมเอานิ้วแคะขี้ฟัน ปิ่นอนงค์เมิน
       “อิ่มจริงๆ”
       ปิ่นอนงค์ลุกขึ้น “งั้นปิ่นเก็บโต๊ะ คุณนายกับผู้จัดการก็คงอิ่มแล้ว”
       “ไม่ต้องรีบ พรุ่งนี้ค่อยเก็บก็ได้” ใหญ่บอก
       “ไม่ได้หรอกค่ะ ที่นี่ แมลงเยอะ มาน้อยมาช่วยกัน” ปิ่นอนงค์ท้วง พยักหน้าเรียกน้อยมาช่วย น้อยเก็บเดินไป
       “รู้สึกเธอจะไม่อยากสู้หน้าฉันเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า” ใหญ่แซว
       “ไม่มีนี่คะ”
       ปิ่นอนงค์ยกถาดจานจะเข้าไปที่ครัว ใหญ่ทำนิ่วหน้าเอามือกุมท้อง
       “โอ๊ย ปวดท้อง”
       ปิ่นอนงค์งง ใหญ่ล้มลงไปนอนดิ้นพราด คราวนี้ปิ่นอนงค์ตกใจรีบวางจาน
       “คุณใหญ่ เป็นอะไรคะ”
       ใหญ่ยิงมุกเก่า “เธอ...วางยาพิษฉัน”
       ปิ่นอนงค์ฉุกกึก “นี่คุณใหญ่ แกล้งปิ่นอีกแล้วใช่มั้ย”
       “ไม่ได้แกล้ง โอย”
       ครองสุขกับธีระเดินออกมาเห็นครองสุขร้องลั่น “ว้าย อะไรกันน่ะ”
       “คุณใหญ่ไม่ทราบเป็นอะไรคะ เรียกรถพยาบาลเถอะค่ะ”
       ใหญ่พูดกระท่อนกระแท่น “ในอา..หาร..มี..ยาพิษ” แล้วม่อยไปในอ้อมกอดปิ่นอนงค์
       ครองสุขอึ้งมองหน้าธีระ พูดเสียงแผ่ว “ฝีมือเธอเหรอ”
       ธีระส่ายหน้าอาการงง “เปล่านะพี่”
       น้อยเดินออกมาในมือถือถาด ปิ่นอนงค์บอกอย่างร้อนใจ “น้อย โทรเรียกรถพยาบาลเร็ว”
       น้อยลนลานปล่อยถาดดังเพล้ง หน้าตื่น วิ่งไปที่โทรศัพท์
       “เบอร์อะไรคะ”
       ครองสุขจับมือน้อยไว้ “ไม่ต้อง”
       ครองสุขมองธีระแล้วเก็ต ขณะที่ปิ่นอนงค์กับน้อยงง
       
       ธีระแบกใหญ่มาในห้องทรรศนะ ปิ่นอนงค์เข้ามาจัดหมอนอย่างเร่งรีบ ธีระปล่อยใหญ่นอนแน่นิ่ง
       ครองสุขตามมามอง
       “คุณใหญ่แน่นิ่งไปอย่างนี้ อาจจะเป็นอะไรมาก เราตามหมอเถอะนะคะ” ปิ่นอนงค์กังวลไม่หาย
       “ก็คงแค่อาหารเป็นพิษธรรมดา คนมันไม่เคยกินของดีดีแกเฝ้าไว้ เดี๋ยวฉันจะไปเอายาให้คุณใหญ่”ครองสุขพยักหน้าให้ธีระ ทั้งคู่เดินออกไป
       ปิ่นอนงค์มองใหญ่อย่างเป็นห่วง
       
       พอสองคนเดินเข้าห้องนอนครองสุข ประตูปิดลง “พี่ว่าไอ้ใหญ่ มันเป็นอะไร” ธีระถามทันที
       “อาจจะเพราะอาหารเป็นพิษอย่างพี่บอก แต่เราจะสนใจทำไม ตอนนี้เราก็ทำให้มันไม่มีโอกาสฟื้นมาอีกก็สิ้นเรื่อง” ครองสุขว่า
       “แต่ถ้ามันตาย ตำรวจอาจจะสงสัยเรานะพี่”
       “นั่นน่ะเราฆ่ามัน แต่นี่มีพยานเห็นว่ามันตายเอง..เอาเถอะ ฉันมีวิธี”
       ครองสุขเดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบเอากล่องใส่ยาพิษออกมา เปิดกล่องมีหลอดยาเล็กๆ เก็บอยู่หลายหลอด
       “แค่หลอดเดียว หัวใจมันจะหยุดเต้นทันที”
       ธีระอึ้งที่ครองสุขเก็บซ่อนยาพิษไว้
       
       ด้านใหญ่นอนนิ่งอยู่ ปิ่นอนงค์ร้อนใจ “คุณใหญ่สลบจริงหรอคะเนี่ย”
       ตัดสินใจจับมือใหญ่ พยายามคลำชีพจร แต่ไม่ชัด ปิ่นอนงค์จึงก้มลงเอาหัวแนบอกใหญ่
       “หัวใจยังเต้น” ปิ่นอนงค์โล่งอกหลับตาพนมมือ “ขอให้วิญญาณคุณไพศาลคุ้มครองคุณใหญ่ ให้คุณใหญ่ ปลอดภัยด้วยเถอะ”
       ใหญ่แอบหรี่ตามองปิ่น พอปิ่นอนงค์ลืมตาใหญ่รีบหลับต่อ
       ครองสุขนวยนาดเข้ามา ถือถาดแก้วน้ำเล็กๆ ผสมยาพิษเข้ามา ธีระตามมา
       “เป็นไง” ครองสุขถาม
       “ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ”
       “งั้นแกป้อนยานี่ให้คุณใหญ่เร็ว” ครองสุขยื่นถาดในมือให้
       ปิ่นอนงค์ถามพาซื่อ “นี่ยา อะไรคะ”
       “บอกชื่อไปแกก็ไม่รู้จัก”
       ปิ่นอนงค์ประคองหัวใหญ่ขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะใหญ่ตัวหนัก ธีระเข้าช่วยอีกข้าง ครองสุขส่งแก้วให้ปิ่นอนงค์
       ใหญ่ทำทีดื่มเข้าไปแล้วอมไว้ ครองสุขกับธีระมองกันยิ้ม
       ทันใดนั้นเองใหญ่ก็ทำผะอืดผะอม ท่าทีขยักขย่อน แล้วก็หันหน้าไปพ่นน้ำใส่หน้าธีระเต็มๆ
       ใหญ่วิ่งเข้าห้องน้ำไปอ้วก ธีระยืนขึ้นลูบหน้าตา ปิ่นอนงค์ก็ตกใจ สักครู่หนึ่งใหญ่ออกมา
       “ขอโทษนะ โอ๊ย มันผะอืดผะอม อาหารร้านนี้ผมคงเข็ดแล้ว เมื่อกี๊ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่คุณน้าวิ่งไปอ้วกแล้ว”
       “คุณใหญ่ ไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ” ครองสุขทำทีเป็นห่วง
       “เป็นซิครับ มวนท้องยังไม่หายเลย ต่อไปผมไม่ไว้ใจกินอาหารนอกบ้านแล้วละ ปิ่นเธอต้องทำให้ฉันกินเองทุกมื้อนะ โอ๊ย สงสัยจะไม่ใช่แค่ออกทางปากอย่างเดียวซะแล้ว ขอเวลานอกนะ”
       ใหญ่ทำท่าหนีบตูด ผลุบเข้าห้องน้ำปิดประตู ธีระโมโหสุดๆ เดินออกไป
       “ธีระๆ”
       ครองสุขตามออกไป ปิ่นอนงค์สงสัยใหญ่
       ใหญ่นั่งบนบนโถส้วมปิดฝาลงยิ้มสะใจ
       
       รุ่งเช้าวันต่อมา ปานเทพดีดตัวเด้งขึ้นมาจากเตียงนอน โวยลั่นใส่โทรศัพท์
       “ไอ้ใหญ่ ไอ้เจ้านายเฮงซวย แกปิดโทรศัพท์ทำไม วะ”
       
       ใหญ่ยืนมองวิวที่ระเบียง ขณะคุยกับปานเทพ
       “เมื่อวานเล่นสนุกมากไป ลืมเปิดโทรศัพท์ ฉันไม่เป็นไร แกไม่ต้องห่วง”
       “ฉันไม่ได้ห่วงแก ฉันขี้กียจฟังพ่อด่า เดี๋ยวฉันจะเข้าไปหาแกที่ไร่”
       “เฮ้ย ยังไม่ต้องมา รออยู่ที่โรงแรมก่อน เดี๋ยวฉันจะโทร.หาอาปลอดเอง”
       “เฮ้ย ไอ้คุณใหญ่ อย่าเพิ่งวางหูนะโว้ย ฮัลโหลๆ” ปานเทพก้มกดโทรศัพท์ท่าทางเซ็งโครต
       
       วางสายปานเทพแล้วใหญ่เดินลงมาเห็นน้อย กำลังจัดโต๊ะอาหารเช้า ใหญ่แกล้งตบโต๊ะ อย่างไร้มารยาท
       “ไปไหนกันหมด”
       น้อยหันมาสะดุ้ง คุกเข่าพนมมือแต้ “คุณใหญ่ อย่าทำอะไรหนูเลยนะคะ”
       “ก็ถ้าไม่ตอบคำถามฉัน ก็ไม่แน่”
       “คุณนายออกไปกับผู้จัดการตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับค่ะ”
       ใหญ่ไม่สนรู้ว่าไปไหน “แล้วปิ่นอนงค์ล่ะ”
       “พี่ปิ่นมาต้มข้าวต้มแล้วก็ไปแต่งตัวไปโรงพยาบาลค่ะ คุณใหญ่จะกิน เอ๊ย รับประทานเลยมั้ยคะ”
       ใหญ่สนใจแต่เรื่องปิ่นอนงค์ “โรงพยาบาลไป ทำไม”
       
       ปิ่นอนงค์พยายามค้นหาของมีค่า ได้สร้อยทองเส้นหนึ่งประมาณสองสลึง กับแหวนเงินสองสามวง
       “เอาไปให้แค่นี้ก่อนคงได้”
       ปิ่นอนงค์เอาของใส่กระเป๋า ปิดประตูจะออกข้างนอก ใหญ่ผลักเข้ามา
       “คุณใหญ่”
       “เธอยังไม่ได้ทำกับข้าวให้ฉันกินเลยจะไปไหน”
       “ปิ่นทำข้าวต้มเครื่องไว้ให้คุณใหญ่แล้ว ตอนนี้แม่ผ่าตัดหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาล ปิ่นต้องรีบไปเยี่ยม”
       ใหญ่ยึกยัก “แต่ฉันไม่ได้อยากกินข้าวต้ม ฉันอยากกินอาหารฝรั่ง”
       ปิ่นอนงค์อึดอัด ใหญ่ดึงกระเป๋าสะพายปิ่นอนงค์ยึดไว้ “ไปทำให้ฉันไม่งั้น ฉันก็ไม่ให้เธอไป”
       “ค่ะ”
       ปิ่นอนงค์เดินออกไป ใหญ่เปิดกระเป๋าดูเห็นมีเงินสดสองพัน กับถุงใส่สร้อยกะแหวน นึกถึงเรื่องที่น้อยรายงานละเอียดยิบเมื่อครู่ที่โต๊ะอาหาร
       “ก็ป้าอุ่น แกผ่าตัดหัวใจน่ะค่ะ แล้วตอนนี้โรงพยาบาลก็ทวงเงินตั้งสามแสน พี่ปิ่นเลยต้องรีบไปจัดการ”

       “โอ้โฮ รวยไม่ใช่เล่นนะ เข้าโรงพยาบาลตั้งสามแสน”
       “รวยเรยอะไรละคะ ตอนนี้พี่ปิ่นยังหาเงินไม่ได้เลย เพราะคุณนายไม่ยอมจ่าย แถมด่าให้ต่างหาก อุ๊บ” น้อยรีบเอามือปิดปาก
       
       ใหญ่ควักเอาซองเงินที่โกงแกมปล้นมาจากบ่อนเสี่ยตง ยัดใส่ในกระเป๋าปิ่นอนงค์ ใหญ่ยิ้มหน้าบานอย่างสุขใจ

---------------------------------------------------------------------------

 “คงผ่อนไม่ได้หรอกค่ะ ที่นี่ไม่มีนโยบาย”
       
       เจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยาบาลหน้าเคร่งเสียงเครียดแต่ยังฝืนยิ้มขณะบอก
       ปิ่นอนงค์ซีด “แต่ตอนนี้ดิฉันยังไม่มีเงินสด ขอเวลาอีกวันนึงนะคะ ตอนนี้ดิฉันขอเอาสร้อยกับของมีค่าบางส่วนวางเป็นประกันไว้ก่อน”
       พลางปิ่นล้วงกระเป๋า แล้วเจอซองเงินที่ใหญ่แอบใส่ไว้งวยงง ล้วงออกมาดู เปิดออกดูเห็นเงินสามมัด ก็ยิ่งงง
       “นั่นไงคะ เงินสด”
       จินตนาพาอุ่นเรือนออกมาพอดี
       อุ่นเรือนทักเสียงขุ่น “ปิ่น”
       “แม่ แม่ออกมาทำไมจ๊ะ”
       อุ่นเรือนโวยลั่น “ค่าผ่าตัดตั้งสามแสน เนี่ยเหรอนิดหน่อยของแก แล้วคุณนายจะเอาที่ไหนมาให้”
       จินตนาหน้าเสีย “ป้าจะออกจากโรงพยาบาลให้ได้ เราเลยต้องบอกว่าเรายังไม่ได้จ่ายค่าผ่าตัด”
       อุ่นเรือน หันไปทางเจ้าหน้าที่ “คุณคะ ฉันไม่มีเงินหรอกค่ะ เอาชีวิตฉันไปแทนเถอะนะคะ
       “แม่คะ แม่ฟังปิ่นก่อน นี่ไงคะเงิน คุณนายเพิ่งให้ปิ่นมา”
       ปิ่นอนงค์ชูเงินให้ดู อุ่นเรือนอึ้ง
       
       จินตนากับปิ่นอนงค์พาอุ่นเรือนมาที่ห้องพักคนไข้
       “ตอนที่บอก คุณนายไม่ว่าอะไรซักคำให้เงินมาเลย แต่ปิ่นบอกท่านว่า ถ้าปิ่นมีเมื่อไหร่จะใช้คืนทันที”
       อุ่นเรือนตื้นตันจนน้ำตาไหล ปิ่นอนงค์ตะลึง “แม่ แม่ร้องไห้ทำไมจ๊ะ”
       อุ่นเรือนตื่นเต้น ตาโต “โถ คุณหนูของอุ่น ยามทุกข์” อุ่นเรือนยกมือไหว้ท่วมหัว “ยามสุข ยามมียามยาก ก็ไม่เคยทิ้งบ่าวคนนี้ ขอให้พระคุ้มครองเจ้าประคู้น ปิ่น แกพาแม่กลับบ้าน แม่จะไปกราบท่าน”
       “ไม่ได้จะแม่ กลับตอนนี้ไม่ได้”
       “ทำไมไม่ได้ ที่ไร่มีอะไร”
       “ไม่มีจ้ะ แต่ว่าคุณนายอยากให้แม่พักอีกสองสามวัน”
       “ถ้าแม่กลับไปตอนนี้ปิ่นโดนดุแน่ ท่านเป็นห่วงแม่มาก”
       อุ่นเรือนยิ่งซึ้งใหญ่ “ปิ่นแกจะต้องทดแทนบุญคุณของคุณนายท่าน แม้แต่ชีวิตก็ต้องให้ท่านได้ จำเอาไว้นะปิ่น”
       “ค่ะ”
       
       ปิ่นอนงค์เข้ามาล้างแก้ว ล้างถ้วย จินตนาเข้ามากระซิบถาม
       “คุณนายให้เงินมาจริงเหรอ”
       ปิ่นอนงค์โกหก “จริงซิ ไม่งั้นเราจะเอาที่ไหนมาจ่าย”
       “แต่หน้าเธอมันน่าจะดีอกดีใจกว่านี้นะ หรือว่าที่เธอไม่อยากให้ป้าอุ่นกลับไร่ เพราะมีปัญหา”
       ปิ่นอนงค์พยักหน้า “คุณใหญ่ลูกชายคุณไพศาลกลับมา”
       จินตนาตาค้าง “หา”
       ปิ่นอนงค์ชู้ว์ปาก
       
       ใหญ่เดินเข้ามาในโรงนาเก่า กวาดสายตามองรอบๆ ภาพการต่อสู้กับผาในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ
       จอมแบกจอบเข้ามาจากด้านหน้า ได้ยินเสียงในโรงนา จอมค่อยๆ แง้มดู เห็นร่างใหญ่ตะคุ่มๆ อยู่
       “ใครน่ะ”
       ใหญ่หันมาจอมไม่เคยเห็นหน้า “แกเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในนี้”
       ใหญ่ไม่ถือสา “ก็มาสำรวจอะไรนิดหน่อย”
       ใหญ่จะเดินออก จอมขวาง “ไร่ไพศาลไม่ใช่ที่เดินเล่น”
       ใหญ่กวนอีก “เหรอ แหมกำลังคิดจะไปเดินเล่นพอดี”
       จอมเอาจอบในมือกระแทกใหญ่อัดกับกำแพง ใหญ่จับจอบดันออกแล้วเบี่ยงตัวกระชากจอบ จนจอมหน้าถลำ แล้วถีบเข้าขาพับจอมทรุดลง ใหญ่งัดจอบเข้าหน้าจอมหงายเงิบไปจอบกลายมาเป็นอาวุธในมือใหญ่แทน จอมยัวะ คว้าคราดใกล้มือมาสู้กับใหญ่ สองหนุ่มเปิดคิวบู๊ผลัดกันรุกผลัดกันรับ อย่างตื่นเต้น
       
       จอมถูกถีบกระเด็นออกมา ใหญ่ตาม เวลานี้อาวุธหลุดจากมือไปแล้วทั้งคู่ จอมเข้าแลกกำปั้น ใหญ่เน้นหลบแล้วเตะ
       เปี๊ยกเข็นอุปกรณ์และกระถางต้นไม้มา เห็นก็ตกใจ
       จัหวะนั้นเป็นคิวที่จอมได้เปรียบคร่อมอยู่บนใหญ่พอดี เงื้อมือหมายจะชก เปี๊ยกเข้าจับมือไว้
       จอมโวย “เฮ้ย พี่เปี๊ยก ปล่อย ไอ้นี่มันบุกรุกไร่เรา”
       เปี๊ยกพูดบอกตามประสา “อ่า อ่า อ๊า”
       เปี๊ยกพยายามบอกจอมว่าใหญ่เป็นคุณใหญ่ จอมไม่ฟังสลัดเปี๊ยกร่างกระเด็น ใหญ่ได้ทีถีบจอมผงะ แล้วกลิ้งตัวยืนขึ้น จอมเอากระถางในรถเข็นทุ่มใส่ใหญ่ แต่เปี๊ยกเข้ามาห้ามโดนเต็มๆ กระถางแตก ดินเต็มหัว ล้มลง
       ถวิล หวานได้ยินเสียงเอะอะตามเข้ามา
       “เฮ้ย หยุดๆเดี๋ยวไอ้จอม”
       “พ่อ ช่วยกันจับไอ้นี่เร็ว มันแอบเข้ามาขโมยของในโรงนา”
       “ไม่ต้องเลย ไอ้จอม เอ็งกราบขอโทษ คุณใหญ่เดี๋ยวนี้”
       
       ทุกคนมารวมหมู่อยู่ที่ศาลาแถวเรือนพัก จอมคุกเข่าพนมมือไหว้ใหญ่ไม่ยอมกราบ
       “ผมขอโทษครับ”
       ถวิลฉุนกึก “ข้าบอกให้กราบ”
       จอมไม่เต็มใจแต่ก็ต้องกราบใหญ่ห้าม
       “ไม่ต้องๆ เรื่องเข้าใจผิดกัน ฉันไม่ถือ ลูกชายฝีมือดีนี่”
       “ไอ้นี่มันมุทะลุครับ อึกอักอะไรก็จะต่อยจะตี”
       “ชื่อจอมใช่มั้ย ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่านายหวินจะมีลูกชาย แต่ก็เลือนรางเต็มที”
       “ผมแยกกับแม่มันตั้งแต่มันสองขวบ พอแม่มันตายผมเลยไปรับมันมาอยู่ที่ไร่ อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ คุณใหญ่ออกไปจากไร่” ถวิลบอก
       “ก็อย่างว่า ฉันไปซะหลายปี คนงานเก่าๆ ของพ่อคงแทบไม่เหลือแล้ว” ใหญ่ว่า
       “ครับ อย่างไอ้เปี๊ยกผัวนังหวาน มันเป็นใบ้เพราะถูกลูกหลงของพวกขี้เมา ผมสงสารก็เอาเข้ามาทำงาน ทั้งผัว ทั้งเมีย เออ แล้วคุณใหญ่เข้าไปในโรงนาทำไมครับ”
       “ก็แค่อยากรู้ว่าที่นี่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนบ้าง”
       “แต่คุณใหญ่ก็เปลี่ยนไปมากเลยนะครับ” ถวิลบอกไปอย่างที่รู้สึก
       “หึ ทำไม มันไม่สมฐานะกับทายาทคนดียวของไร่ไพศาลใช่มั้ย” น้ำเสียงใหญ่หยันอยู่ในที
       ทุกคนอึกอักหลบๆ ตา จอมมองๆใหญ่ไม่ศรัทธา
       
       ครองสุขนั่งใส่แว่นดำ แต่ดูออกว่าเครียดจัด รออยู่ที่ร้านอาหารในตัวจังหวัด ธีระเข้ามา “ทำไมไปนานนัก”
       “คดีมันนานมาแล้วนะครับ ต้องใช้เวลาค้น”
       “แล้วตกลงมีวิธีเล่นงานไอ้ใหญ่มั้ย”
       “ไอ้ใหญ่มันโดนตั้งข้อหาพยายามฆ่า อายุความมันสิบห้าปี ตอนนี้ผ่านไปแค่สิบสอง”
       ครองสุขหูผึ่ง “หมายความว่า เรายังจับมันเข้าคุกได้ซิ”
       “เราแจ้งตำรวจได้ แต่ไม่แน่ว่าจะเอามันเข้าคุกได้ อย่างที่รู้ นายผาตายเพราะถูกรถชน ไอ้ใหญ่มันอาจจะให้การว่ามันทำไปเพราะขาดสติ ต้องสู้กันในศาลอีก”
       ครองสุขเม้ง “พูดอย่างงี้หมายความว่าหมดปัญญาสู้รึไง จะให้ฉันเอาสมบัติทั้งหมดถวายคืนให้มันใช่มั้ย”
       “ใจเย็นๆซิครับพี่ ขอผมคิดก่อน”
       ธีระมองๆ ไปเจอหนังสือพิมพ์วาง มีพาดหัวข่าวคดีคนฆ่ากันตายหรา
       “ในเมื่อคดีเก่าเล่นงานมันไม่ได้ เราก็ก่อคดีใหม่ให้มันก็ได้นี่พี่”
       สองคนสบตากันครองสุขเก็ตทันควัน
       
       เวลานั้นทัศนีย์ขับรถเข้ามาจอด กดแตร ไม่เห็นใครมาจึงเปิดประตู ลงจากรถ เปิดประตูหลังยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาวาง เกาะหลังคารถ
       “น้อย นังน้อย ปิ่นหายไปไหนกันหมดนะ” โหวกเหวกอีกรอบ
       ใหญ่เดินกลับมาพอดี ทัศนีย์เห็นนึกว่าเป็นคนงานไร่ เรียกจิกใหญ่ “นี่แก... แก”
       ใหญ่ทำเป็นหลียวหลังล่อกแล่ก “แกนั่นแหละ” ทัศนีย์บอก
       ใหญ่ชี้หน้าตัวเอง “เรียกผมเหรอเจ๊”
       ทัศนีย์ปรี๊ด “ฉันไม่ใช่เจ๊แก ระวังปากหน่อย มานี่”
       ใหญ่เดินเข้าไปหา ทัศนีย์เปิดประตูรถอีกข้าง ชี้ข้าวของในรถ
       “ยกของพวกนี้ตามชั้นมา”
       ใหญ่หิ้วถุงเครื่องสำอาง ถุงข้าวของสามสี่ใบเพิ่งซื้อใหม่ๆ กับกระเป๋าเดินทาง เดินตามทัศนีย์ไปเก้ๆ กังๆ ทัศนีย์หันไปมอง ดุใหญ่
       “เร็วๆ สิ งุ่มง่ามอยู่ได้”
       “ครับ เจ๊ครับ”
       “เจ๊ บ้าบออะไร เรียกชั้นคุณนีย์จำเอาไว้”
       ทัศนีย์มองค้อน แล้วเดินนำใหญ่เข้าบ้านไป
       
       ใหญ่เดินตามทัศนีย์เข้าห้องมา ทัศนีย์ชี้นิ้วสั่งการ
       “กระเป๋าเดินทางเอาไปไว้หน้าตู้เสื้อผ้าพวกถุงเครื่องสำอาง เอาไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง”
       ใหญ่ลากกระเป๋าไปวางหน้าตู้เสื้อผ้า ทัศนีย์จัดแจงเปิดกระเป๋า
       ใหญ่เดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เหลือบมองทัศนีย์แวบหนึ่ง หันมาดูของในถุง
       ใหญ่ยกถุงใบหนึ่งโยนสูงๆ แกล้งปล่อยถุงหล่นลงพื้น เสียงขวดในถุงแตกกระจาย
       ทัศนีย์เหลียวขวับหันไปมอง ตกใจ ใหญ่แกล้งตกใจร้อง “อุ๊ย”
       ทัศนีย์ลุกขึ้นร้องกรี๊ด รีบไปหยิบถุงมาดู แล้วเขวี้ยงใส่ใหญ่
       “ตาย ตายแล้ว น้ำหอม โลชั่น โทนเนอร์ของชั้น แตกพินาศหมดแล้ว แกๆ ไอ้เซ่อ ไอ้บ้านนอก”
       “ของมันหล่นกันได้ เดี๋ยวผมซื้อมาใช้คืนให้ก็ได้
       “หน้าอย่างแกน่ะเหรอจะมีปัญญาไปซื้อมาใช้ชั้น”
       ใหญ่รีบเอาถุงมาเปิดดูสอดส่องไปมา หยิบขวดโรลล์ออนที่ก้นขวดแตก มาส่องดู
       “ทำไมจะไม่มีปัญญา นี่อะไร อ๋อ ... โรลล์ออน ไวท์เทนนิ่ง ที่ทาดับกลิ่นจักกะแร้ขาว โธ่ เดี๋ยวผมไปซื้อสารส้มมาให้สองก้อน ชุบน้ำถูกับเท้าก่อนนะ ลบความคม แล้วค่อยทาจักกะแร้ ได้ผลเหมือนกัน แต่ต้องระวังบาดจักกะแร้เป็นแผล”
       ทัศนีย์บันดาลโทสะตบใหญ่จนหน้าหัน
       “นี่แน่ะ ไอ้บ้า สารส้มถูกับเท้า เอาไว้ถูหน้าแกเถอะ ชั้นจะให้คุณน้าไล่แกออก”
       ปิ่นอนงค์นั่งรถรับจ้างมาจอดที่หน้าเรือนใหญ่ เห็นรถทัศนีย์จอดอยู่ น้อยถือกระจาดผ้าที่เก็บจากราวเดินจากข้างบ้านมา
       “น้อย คุณนีย์กลับมาแล้วเหรอ”
       “อ้าว ไม่รู้ซิพี่ น้อยไปเก็บผ้ามา”
       
       ปิ่นอนงค์เดินเข้ามาในห้องโถงมองหาทัศนีย์ น้อยตามติด
       “เอ๊ะ น้อย แล้วคุณใหญ่ล่ะ”
       “พอกินข้าวเช้าเสร็จก็ขึ้นไปข้างบน”
       จังหวะนั้นเสียงกรี๊ดของทัศนนีย์ดังมาจากชั้นบน
       ปิ่นอนงค์ตาเบิกโพลง อุทานอย่างนึกรู้
       
       “แย่แล้ว”

----------------------------------------------------------------------------

  เวลานั้นใหญ่จับข้อมือสองข้างของทัศนีย์ มือข้างหนึ่งทัศนีย์ถือขวดครีมขนาดใหญ่
       
       ทัศนีย์ดิ้นรนเตะถีบ ทุบถองพัลวัน ใหญ่ดันร่างทัศนีย์ไปจนติดตู้เสื้อผ้า แล้วเอาตัวตามทัศนีย์ กันโดนเตะถีบทัศนีย์กรี๊ด
       “ปล่อยชั้นนะไอ้บ้า แก...แกกล้าดียังไงมาถูกเนื้อต้องตัวชั้น ปล่อยนะ...ปล่อยๆ”
       “ขืนปล่อย คุณก็ทุบผมหัวแตกซิ จะปล่อยให้โง่ทำไม”
       ทัศนีย์ดิ้นสุดชีวิต กรี๊ดสุดเสียง
       ใหญ่เหลือทนกับเสียง ยอมปล่อยทัศนีย์
       ทัศนีย์หยุดจ้องหน้าใหญ่ สองคนสบตา สู้สายตากัน ทัศนีย์จะตบใหญ่ แต่ใหญ่ฉากหลบแล้วกอดรวบแขนทัศนีย์จากด้านหลัง ทัศนีย์ดิ้น
       “ไอ้ชั่ว ไอ้ไพร่สถุล แกจะทำอะไรชั้น”
       ปิ่นอนงค์ กับน้อยวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
       “อย่าค่ะ อย่าทำอะไรคุณนี ปิ่นขอร้องล่ะค่ะ”
       ใหญ่สะบัดร่างทัศนีย์ลงบนเตียง ทัศนีย์เอาหมอนขว้างใส่ใหญ่
       “ไปขอร้องมันทำไมนังปิ่น มันเป็นแค่ไอ้คนงานกระจอก”
       ใหญ่รับหมอนได้ ชี้หน้าปิ่นอนงค์ ใหญ่โยนหมอนลงข้างทัศนีย์ แล้วชิดเท้าตรง โค้งหัวให้ปิ่นอนงค์เงอะงะอยากอธิบายว่าใหญ่คือใคร
       “ขอประทานโทษขอรับ นายหญิงทัศนีย์ ที่ขี้ข้าอย่างบ่าวล่วงเกินนายไป”
       ทัศนีย์ลุกชี้หน้าใหญ่ “ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ไอ้บ้า ชั้นไล่แกออก”
       ใหญ่เดินออกไปยิ้มๆ ปิ่นอนงค์เลิ่กลั่กตามออกไป น้อยยืนชี้ตามใหญ่ไป ชี้กลับมาที่ทัศนีย์ จนทัศนีย์งง “เป็นอะไรของแกนังน้อย ชี้บ้าชี้บออะไร”
       “คะ คะคุณนีย์ รู้ตัวมั้ยคะว่ากำลังด่าใคร”
       
       ใหญ่เดินออกประตูมา ปิ่นอนงค์วิ่งตามติดมาขวางหน้า
       “คุณนีย์จำคุณใหญ่ไม่ได้ คุณใหญ่อย่าไปถือโทษโกรธเคืองเธอเลยนะคะ ปิ่นขอร้องล่ะค่ะ”
       “แหมฉันกำลังคิดอยู่พอดีว่า จะจัดการทัศนีย์ยังไง แต่คงไม่ทำเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ นั่นน่ะมันเด็กๆ”
       สองคนสบตากัน ใหญ่ยิ้มเครียด นึกถึงความแก่นเซี้ยวของทัศนีย์สมัยวัยเด็ก
       
       วันนั้นใหญ่กับปานทพเล่นลูกหินกันอยู่ ทัศนีย์เดินกินขนมด้วยท่าทางอร่อยเข้ามา ยื่นกล่องขนมให้ใหญ่
       ใหญ่ยิ้มรับไมตรี รับกล่องขนมไป สบตากับปานเทพ
       ใหญ่เปิดกล่องขนม ในกล่องมีแต่ขี้หมา ใหญ่กับปานเทพผงะกลิ่น
       “ขี้หมานี่หว่า”
       ใหญ่ว่าอย่างแค้น ขว้างกล่องขนมทิ้ง ทัศนีย์หัวเราะเยาะใส่ แล้ววิ่งร่าเริงออกไป
       ปิ่นอนงค์แอบดูอยู่ไกลๆ
       
       ห้องน้ำในเรือนใหญ่ ต่อเนื่อง ใหญ่/ปิ่น/ทัศนีย์/ปาน
       ทัศนีย์ร้องกรี๊ดๆ ทุบประตู อยู่ในห้องมืด ปานเทพส่งถุงใส่สัตว์ให้ใหญ่ที่ปีนอยู่ตรงข้างนอกหน้าต่างที่เป็นช่องอยู่สูง ใหญ่เทถุงเข้าหน้าต่าง บรรดาตุ๊กแก จิ้งเหลน กระทั่งหนู วิ่งกันพล่าน
       ทัศนีย์ ตกใจกลัวร้องไห้โฮ “ฮือ ๆ ช่วยด้วยๆๆๆ
       ใหญ่กับปานเทพหัวเราะสะใจ แล้วออกไป
       ปิ่นอนงค์วิ่งเข้ามาเปิดประตูที่ล็อกสายยูไว้ จูงมือทัศนีย์ที่ปิดหน้ากระโดดเหยงๆ วิ่งหนีไป
       
       ทัศนีย์นั่งอยู่บนเตียงอ้าปากค้าง ตาโต ค่อยๆ เอามือปิดปาก น้อยยืนมองทัศนีย์ พยักหน้ายืนยัน
       “อะไรนะนังน้อย มัน...มันคือคุณใหญ่จริงๆเหรอ ไม่ ไม่จริง คุณน้าบอกว่า มันตายไปแล้ว”
       น้อยชักหมั่นไส้ “ก็เดี๋ยวคุณนายกลับมา คุณนีย์ก็ถามเอาเองก็แล้วกัน”
       น้อยเดินตัวลีบ หน้าสยองออกไปทัศนีย์หน้าตา เลิ่กลั่ก เริ่มกังวล
       
       ใหญ่เดินมาที่หน้าเรือนใหญ่ เห็นรถกอล์ฟไฟฟ้าจอดอยู่แล้วขึ้นไปนั่ง ที่หลังรถมีเข่ง จอบ เสียม มีดพร้า ขวาน วางอยู่ ปิ่นอนงค์เดินมาขวางหน้ารถ
       “อะไรอีกล่ะ ปิ่นอนงค์”
       “คุณใหญ่ต้องรับปากกับปิ่นก่อน ว่าจะไม่ทำร้ายคุณนีย์”
       “แหม คติของฉัน มันตาต่อตา ฟันต่อฟันซะด้วย” ใหญ่กวน
       ระหว่างนั้นน้อยโผล่มามุมหนึ่ง แอบมอง แอบฟัง
       “ถ้าอย่างนั้น ปิ่นกราบขอโทษแทนคุณนีย์ก็แล้วกันนะคะ” พลางปิ่นอนงค์พนมมือไหว้ ทรุดตัวจะคุกเข่า “ปิ่นขอรับโทษแทนคุณนีย์เอง”
       ใหญ่ลุกพรวดเข้าจับแขนปิ่นอนงค์ทั้งสองข้าง
       “ได้ ชั้นลงโทษเธอแทนทัศนีย์ก็ได้ ไปขับรถไป”
       ใหญ่จับปิ่นอนงค์ขึ้นรถในอาการงงๆ ใหญ่นั่งข้าง
       ใหญ่หน้าดุ ปิ่นอนงค์สงสัย “ไปไหนคะ”
       “ไม่ต้องถาม ขับไป”
       ปิ่นอนงค์ขับรถกอล์ฟออกไป น้อยส่ายหน้าสงสาร
       
       ปิ่นอนงค์ขับรถผ่านทุ่งหญ้าสวยงาม ใหญ่แอบมองปิ่นอนงค์เป็นหย่อมๆ
       “ปิ่นอนงค์” ใหญ่เรียก
       ปิ่นอนงค์สะดุ้ง “คะ” สีหน้าเครียด
       “จะไม่อธิบายแนะนำอะไรบ้างเหรอ
       “ก็ ก็คุณใหญ่ให้ขับรถ” ปิ่นอนงค์ย้อน
       ใหญ่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เหมือนจะทำมิดีมิร้าย “หมายความว่า ฉันให้ทำอะไรเธอก็จะทำทุกอย่างเลยเหรอ”
       ปิ่นอนงค์ตกใจ เบี่ยงตัวหนีใหญ่ รถเลยแฉลบจะชนหิน
       “ระวัง” ใหญ่ร้อง รีบหักพวงมาลัย ปิ่นอนงค์เซมาปะทะอกแกร่ง ปิ่นอนงค์เหยียบเบรกดังเอี๊ยด รถหยุด ใหญ่กอดปิ่นอนงค์ไว้ ใบหน้าชิดใกล้ สองคนตกอยู่ในภวังค์นิดหนึ่ง
       ปิ่นอนงค์รู้สึกตัวผละตัวออกมา หน้าแดงทั้งอายทั้งกลัว “ขอโทษค่ะ คุณใหญ่” รีบขับรถไปต่อ
       
       ที่มุมทำงานในไร่เวลานั้น ถวิลนั่งอยู่บนกองฟาง จอม กะเปี๊ยกก่อกองฟางอยู่
       น้อยเดินหน้ามุ่ยเข้ามานั่ง ถวิลถาม
       “มีอะไรนังน้อย หน้าตาบอกบุญไม่รับเลยนี่หว่า”
       “ก็เป็นห่วงพี่ปิ่นน่ะสิลุง โดนอีกแล้ว”
       จอมชะงัก วางคราดพิงจอมฟาง หน้าเครียดเดินมาหาน้อย “ปิ่นเป็นอะไรน้อย ใครทำอะไรปิ่น”
       เปี๊ยกตามมาฟังอย่างสนอกสนใจ
       “ก็คุณนีย์น่ะสิ ดันไปทะเลาะกับคุณใหญ่ พี่ปิ่นขอโทษ” น้อยเล่าออกท่าทางหน้าเครียด “แทนคุณนีย์ คุณใหญ่ไม่ฟัง ฉุดพี่ปิ่นขึ้นรถไปเลย”
       จอมนิ่งคิด แล้วเดินรี่ไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ถวิลรู้ทันรีบห้าม “เฮ้ยๆ ไอ้จอม อย่าไปยุ่งกับเค้า”
       จอมไม่ฟัง สตาร์ทรถขี่ออกไปฝุ่นคลุ้ง เปี๊ยกส่งภาษามือวุ่นวาย ถวิลมองตามจอมไปหน้าเครียด
       
       ปิ่นอนงค์พาใหญ่ นั่งรถไปตามมุมสวยๆ ของไร่ไพศาล ทั้งคอกสัตว์ ทุ่งเลี้ยงแกะ และส่วนของรีสอร์ต
       ปิ่นอนงค์ชี้ชวนนั่นนี่ ใหญ่มองปิ่นอนงค์เพลินเคลิ้มใจความสวยน่ารัก พอปิ่นอนงค์หันมา ใหญ่ก็ทำหน้าเข้มถามนั่นนี่กลบเกลื่อน
       ปิ่นอนงค์ขับรถผ่านต้นปีบ
       “จอดตรงนี้ซิ” ใหญ่บอก
       ปิ่นอนงค์จอดงงๆ “มีอะไรคะ”
       “ตรงนี้มันคุ้นๆนะ” ใหญ่ลงจากรถเดินไปที่ต้นปีบ ปิ่นอนงค์เพิ่งเก็ต วิ่งตาม
       “นี่ต้นอะไรนะ”
       ปิ่นอนงค์ไม่ค่อยอยากบอก “ต้นปีบค่ะ”
       
       ใหญ่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต วันนั้นที่ตรงนี้ ปิ่นอนงค์เพิ่งปลูกต้นปีบเสร็จ กอบดินกลบรอบๆ โคนต้นปีบ ตบเบาๆ ใหญ่แอบมอง
       “โตเร็วๆ นะ ต้นปีบ เธอคือตัวแทนของคุณนะ ผู้ชายที่แสนดีของชั้น”
       ใหญ่เดินเข้ามาหน้าเครียดตามองจ้องที่ต้นปีบเขม็ง ปิ่นอนงค์ยืนตกใจ
       “คุณใหญ่ คุณใหญ่จะทำอะไร” ใหญ่ไม่ตอบตรงเข้าเตะต้นปีบจนเอนล้มลงแล้วเดินจากไป
       ปิ่นอนงค์ตกใจ ก่อนจะทรุดลงนั่งประคองต้นปีบ
       “อย่าตายนะต้นปีบ เธออย่าตายนะ”
       ปิ่นอนงค์ปลูกต้นปีบใหม่ ร้องไห้โฮ
       
       ใหญ่มองต้นปีบยิ้มๆ
       “เธอเก่งมากเลยนะปิ่นที่ดูแลต้นไม้ต้นนี้จนรอดโตมาได้ขนาดนี้ คงจะรักคนที่เค้าให้มากเลยสินะ”
       ปิ่นอนงค์เม้มปากมองใหญ่เขม็ง
       “แต่ชั้นว่าต้นปีบต้นนี้มันเกะกะ บดบังทิวทัศน์สวยๆ” ใหญ่ลงจากรถ “แถวนี้ซะหมด ตัดทิ้งเลยดีกว่า”
       ปิ่นอนงค์ตกใจ ใหญ่ลุกไปรื้อเข่งหลังรถ หยิบมีดกับขวานขึ้นมาดู
       ใหญ่โยนมีดลงเข่ง หยิบขวานเดินไปที่ต้นปีบ ปิ่นรีบลงจากรถวิ่งถลาไปที่ต้นปีบขวางใหญ่
       “คุณใหญ่... คุณใหญ่จะทำอะไรคะ”
       “ก็โค่นต้นปีบทิ้งน่ะสิ ถามได้”
       ใหญ่เดินเลี่ยงปิ่นอนงค์ แล้วทำเป็นกะระยะ ทิ้งน้ำหนักลงเท้าไปมา ใหญ่เงื้อขวานช้าๆ
       ปิ่นอนงค์รีบเข้ามากอดต้นปีบไว้ ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ น้ำตาไหลรินหลับตาปี๋
       “ถ้าจะทำต้นปีบ ทำปิ่นแทนเถอะค่ะ”
       “นี่ถึงกับยอมตายพร้อมต้นปีบเลยเหรอ”
       จอมขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด รีบลงรถวิ่งมา
       “อย่านะครับ คุณใหญ่ ถ้าจะทำก็ทำผม”
       จอมมาประคองปิ่น ใหญ่โยนขวาน เดินไปขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว
       ปิ่นอนงค์ทรุดลงนั่งพับเพียบ ลูบต้นปีบไปมา ร้องไห้จอมจับไหล่ปิ่น มองอย่างห่วงใยทั่วร่างปิ่น “ปิ่น ปิ่นเป็นอะไรหรือเปล่า เป็นผู้ชายภาษาอะไรวะ รังแกผู้หญิง”
       ปิ่นอนงค์ปาดน้ำตาส่ายหน้า “เปล่าจอม คุณใหญ่ไม่ได้ทำอะไรปิ่น”
       “แน่ใจนะ ไม่ต้องกลัวใครนะปิ่น จอมไม่ให้ใครรังแกปิ่นเด็ดขาด ไม่ว่าจะใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม”
       
       จอมมองไปคิดถึงใหญ่สีหน้าเคืองๆ ปิ่นอนงค์ค่อยๆ ลุก จอมช่วยประคอง

----------------------------------------------------------------------

 ทัศนีย์เดินพล่านไปมาอยู่ในโถงเรือนหลังใหญ่ ทัศนีย์กดโทรศัพท์ไปมา ปากบ่นงึมงำ
       
       “ทำไมยังไม่กลับซะทีนะ คุณน้า”
       ครองสุขเข้ามาทันได้ยินเสียงบ่น ด่ารับขวัญ
       “เงินหมดหรือไง ถึงซานกลับมาบ้าน หรือถูกไอ้จิ้งเหลนนั่นมันทิ้ง”
       “คนอย่างหนูเหรอจะโดนทิ้ง หนูทิ้งมันต่างหาก แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งมาแดกดันกันเลย คุณน้า บอกหนูมาก่อนนังน้อยมันโกหกหนูใช่มั้ย ว่าไอ้ใหญ่มันกลับมาแล้ว”
       ครองสุขตกใจเหลียวซ้ายแลขวา “แกเจอกับมันแล้วเหรอ”
       ทัศนีย์ตกใจ ตาโต สองแม่ลูกที่อุปโลกน์เป็นน้าหลานจ้องตากัน แล้วทัศนีย์ก็วิ่งไป
       ครองสุขตะโกนเรียกก็ไม่เหลียวหลัง “เดี๋ยว นั่นแกจะไปไหน ทัศนีย์”
       
       ทัศนีย์วิ่งขึ้นมาบนห้องนอนเปิดประตูเข้าไป ลนลานเก็บของที่เอาออกกองไว้ที่เตียงเข้ากระเป๋า
       ครองสุข ตามเข้ามา สงสัย “แกทำอะไรของแก”
       “ก็เก็บข้าวเก็บของน่ะสิคะ”
       ครองสุขเครียดครุ่นคิด
       “หนูทั้งด่าทั้งตบหน้ามัน มันไม่ปล่อยเราเอาไว้แน่” ทัศนีย์เดินไป
       ครองสุขสั่ง “ทัศนีย์ หยุด แกจะไปไหนไม่ได้”
       “อะไรอีกล่ะคะ คุณน้า จะนั่งรอให้ มันมาฆ่าล้างครัวเราเหรอ รู้ก็รู้ว่าสันดานไอ้ใหญ่เป็นยังไง นี่มันแหกคุกมารึเปล่าก็ไม่รู้”
       ครองสุขหน้าเครียดเสียงเคร่งเข้ม
       “เราจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น ถ้าเราหนีมันก็ยึดทุกอย่างคืน เราก็จะไม่เหลืออะไรอีก เข้าใจมั้ย”
       ทัศนีย์สะบัดตัวพรืด “ช่างมันเถอะ หนูไม่สนอะไรแล้ว เอาชีวิตไว้ก่อน”
       ครองสุขตบหน้าทัศนีย์จนหน้ากัน ทัศนีย์อึ้ง หยุดกึก
       “แต่ฉันสั่งให้แกอยู่ แกต้องอยู่! ฟังให้ดี ไร่ไพศาลเป็นของฉัน ของนายนะ ของแก คนที่ต้องออกไปคือไอ้ใหญ่ไม่ใช่เรา แต่แกต้องใจเย็นๆ และเชื่อฟังฉัน เข้าใจมั้ย”
       ครองสุขเสียงกร้าว ส่งสายตาดุจ้องหน้าทัศนีย์ ทัศนีย์กะพริบตาครุ่นคิด
       
       ใหญ่เดินหน้ามุ่ยกลับมาที่หน้าเรือนใหญ่ เป็นจังหวะที่ครองสุขลากทัศนีย์ออกมาจากบ้าน เล่นละครว่าโมโหมาก
       “มานี่เลยแกมา”
       ทัศนีย์ร้องลั่น “โอ๊ย คุณน้า นีย์เจ็บนะ”
       ถึงจะเชื่อน้ำยา แต่ใหญ่หยุดมองๆ ว่าจะมาไม้ไหน
       “คุณใหญ่ๆ กลับมาพอดี ยัยนีย์กราบขอโทษคุณใหญ่เดี๋ยวนี้”
       “เรื่องอะไรกันครับ” ใหญ่เล่นตามบท
       “ก็ที่มันล่วงเกินตบหน้าแล้วก็สามหาวใส่คุณใหญ่น่ะซิคะ เร็วเข้ายัยนีย์ฉันบอกให้กราบ” 
       ครองสุขรีบไปดึงข้อมือทัศนีย์เข้ามา ทัศนีย์กลัวหลบหน้าหลบตา
       “โธ่ คุณน้า แค่เข้าใจผิดกันเล็กๆน้อยๆ ผมไม่ถือหรอกครับ”
       ครองสุขหยิกแขนทัศนีย์ จนทัศนีย์พนมมือไหว้ใหญ่
       “นีย์ขอโทษค่ะ นีย์จำคุณใหญ่ไม่ได้จริงๆ”
       ใหญ่ยิ้ม เดินเข้าไปกอดทัศนีย์ซะแน่น ลับหลังทัศนีย์ทำหน้าตารังเกียจ เบ้ปากให้ครองสุข
       “โถ... เธอเป็นหลานน้าครองสุข ก็เหมือนเป็นน้องสาวของชั้น อโหสิๆ”
       ทัศนีย์พยายามดันตัวออก ใหญ่ปล่อยทัศนีย์
       ครองสุข ยิ้มกริ่ม “แหม เห็นพี่น้องรักกันแบบนี้น้าก็ชื่นใจ เราน่าจะจัดฉลองต้อนรับคุณใหญ่กลับบ้าน”
       ใหญ่งงบ้าง “โอ๊ย ไม่ต้องหรอกครับ เอาไว้ฉลองใหญ่ตอนทรรศนะกลับมาดีกว่า”
       ครองสุขไม่ยอม “อุ๊ย ... ตานะมาก็ค่อยฉลองอีกทีก็ได้ สำหรับทายาทคนสำคัญอย่างคุณใหญ่ ฉลองกันทั้งปียังได้ จริงมั้ยยัยนีย์”
       ทัศนีย์รีบรับ “ค่ะ จริงค่ะ” ปั้นหน้าฝืนยิ้มสุด
       ใหญ่ยิ้มให้ในใจระแวง
       
       วันต่อมา ขณะที่ปานเทพจิบกาแฟอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมหยิบเค้กเข้าปาก เสียงโทรศัพท์ดัง
       ปานเทพดูหน้าจอ รูปพ่อขึ้นหราที่ในจอโทรศัพท์ ปานเทพตกใจเค้กหล่น ไอกระแอม ตั้งสติ กดรับสาย
       “ครับพ่อ ... เนี่ยครับ ดูไม่ได้คลาดสายตาเลย ... พ่อ คุยตอนนี้ไม่ได้ครับ ไอ้คุณใหญ่มันเข้าห้องน้ำอยู่ แล้วผมโทร.กลับนะครับ สวัสดีครับ” ก้มหน้ากดโทร.ด่วนจี๋ แต่หน้าเม้งสุดขีด “ไอ้คุณใหญ่ ไอ้เลว ไม่รับโทรศัพท์อีกแล้ว” พยายามโทร.ต่อ “ไอ้คุณใหญ่ ถ้าแกไม่โทรมาวันนี้ ฉันจะตัดหางแกปล่อยวัด ทางใครทางมัน”
       ปานกดวางสาย อย่างยัวะ
       
       เวลาเดียวกันจินตนาอยู่ในตลาด มือถือถุงส้ม รอรับเงินทอนจากแม่ค้าผลไม้ที่อุ้มหมากระเป๋าบนตัก
       จินตนาแหย่หมาด้วยความเอ็นดู “น้องกี่ขวบแล้วคะ”
       “ไม่รู้เหมือนกัน มีคนเอาไปทิ้งไว้แถววัด ป้าเลยเอามาเลี้ยง” แม่ค้าบอก
       “ว่างๆ เดี๋ยวหนูมาตรวจให้เผื่อต้องฉีดวัคซีน”
       ปานเทพเดินเข้ามาหน้าแผง หยิบกล้วยหอมส่งให้แม่ค้า
       แม่ค้าเอากล้วยใส่ถุง ปานเทพถามราคา “หวีเท่าไหร่ครับ”
       จินตนาได้ยินเสียงหันไปมองจำได้ ภาพตอนปานเทพเอาหมามารักษาแล้วหนีไป ผุดมากระตุกต่อมโมโหจินตนาชี้หน้าต่อว่าปานเทพเป็นชุด
       “คุณนี่เอง ทำไมใจร้ายขนาดนี้ ทิ้งหมาตัวเองไปได้ลงคอเค้าร้องหาคุณทุกวัน ตอนนี้ก็หนีไปแล้ว กลายเป็นหมาจรจัดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตามท้องถนน ถ้าเค้าเป็นอะไรไป จำเอาไว้เลย ว่าเป็นความผิดของคุณ”
       “ใจเย็นๆ นะ ฟังผมก่อน หมาตัวนั้นมันไม่ใช่หมาผม ผมอุตส่าห์อุ้มมันไปรักษาไม่ปล่อยให้ชักตายกลางถนนก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ปานเทพแจง
       จินตนาหรือจะเชื่อ “ฉันเจอมานักแล้ว พวกอยากทิ้งหมาแล้วมาอ้างว่าไม่ใช่เจ้าของเนี่ย เสียดายหน้าตาท่าทางก็ดี แต่ไร้น้ำใจ”
       ปานเทพฉุนกึก “โว้ย ขี้เกียจอธิบายแล้ว อยากจะเข้าใจยังไงก็ช่างคุณ”
       ปานเทพหงุดหงิด ยื่นเงินให้ป้าแม่ค้า “เอาไปเลยป้าไม่ต้องทอน”
       แต่แล้วป้าแม่ค้าจ้องปานเทพจะกินเลือดกินเนื้อ ด่าเต็มๆ เพราะเชื่อจินตนา “ไม่ขายแก ไอ้คนใจร้าย”
       ปานเทพอึ้ง “หะ”
       “หมาก็มีหัวใจ เป็นคนซะเปล่า แต่ดันใจหมา” ด่าอีก-ดอก
       “โห ป้า พูดแบบนี้ผมแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทได้เลยนะ” ปานเทพชี้หน้า
       น้องหมาในอ้อมกอดป้าแม่ค้า เห่าปานเทพเสียงดัง แถมขู่คำรามฟ่อๆ ปานเทพรีบหดนิ้วที่ชี้
       
       จู่ๆ ผักไร้ที่มาก็พุ่งใส่หัวปานเทพ ตามด้วยออฟชั่นเส้นก๋วยเตี๋ยวมาอีกทาง ขนมครกตามมาติดๆ
       “เฮ้ยๆๆ อะไรวะเนี่ย ทำร้ายร่างกายมันผิดกฎหมายนะ โอ๊ย”
       แม่ค้าอีกรายตะโกนก้องตลาด “ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนทารุณสัตว์”
       “ฝากไว้ก่อนเถอะ”
       ปานเทพรีบเผ่นหนีไป จินตนามองตาม
       ปานเทพกัดฟัน พูดพึมพำ “เพราะแกคนเดียว ไอ้คุณใหญ่”
       ปานหันไปชี้หน้าจินตนา แล้ววิ่งหนีไป จินตนาสะใจ มองตามไป “สมน้ำหน้า”
       ปิ่นอนงค์เดินนำคนเข็นรถกับข้าว รวมทั้ง ผักสารพัด หมู ไก่ ที่จะทำอาหารจัดเลี้ยงใหญ่ เข้ามาเห็นจินตนามองใครอยู่ ปิ่นอนงค์มองตาม
       “จิน มีอะไรกันเหรอ”
       จินตนาเหลียวมองรถเข็นกับข้าว “สั่งสอนคนไม่มีความรับผิดชอบน่ะ แล้วนี่ ซื้อกับข้าวไปทำอะไรเยอะแยะ”
       สองสาวสบตากัน
       
       ไม่นานต่อมา สองสาวพาตัวเองมาอยู่ที่ทางเดิน มุ่งหน้าตรงไปยังห้องพักอุ่นเรือนในโรงพยาบาล ปิ่นอนงค์ขรึมๆ จินตนานึกสงสัย
       “คิดแล้วมันไม่น่าเชื่อ คุณนายครองสุขเนี่ยนะ ลงทุนปิดไร่เลี้ยงฉลองให้ คุณใหญ่ ซึ่งจะกลับมายึดทุกอย่างไปจากคุณนาย”
       ปิ่นอนงค์มองครองสุขในแง่งามเสมอ “คุณใหญ่เป็นเจ้าของไร่ไพศาล คุณนายทำอย่างงี้ก็ถูกแล้ว”
       “เออ แล้วคุณใหญ่นี่ หล่อล่ำมั้ย เท่เหมือนพวกทายาทที่เป็นพระเอกในหนังในละครหรือเปล่า” จินตนาถามตามวาว
       “ก็ไม่เชิง”
       จินตนาขมวดคิ้ว “ดูเธอเครียดๆ นะปิ่น มีอะไรรึเปล่า”
       “คือเรากำลังคิดน่ะ ว่าอยากให้แม่อยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกหน่อย ตอนนี้ที่ไร่มีเรื่องยุ่งๆอยู่ ถ้ากลับไปตอนนี้กลัวแม่ไม่ได้พัก”
       ถึงหน้าห้อง ปิ่นอนงค์เอานิ้วชี้แตะปาก เปิดประตู
       
       สองสาวเข้าห้องมาแล้วชะงักมองเห็นอุ่นเรือนเปลี่ยนชุดเตรียมกลับบ้านนั่งรอที่เก้าอี้ จ้องปิ่นอนงค์หน้าดุ
       “ปิ่น ทำไมไม่บอกแม่ว่าคุณใหญ่กลับมาแล้ว”
       ปิ่นอนงค์งง ปิดซะมิด แม่รู้ได้ไง “ใคร ... ใครบอกแม่ล่ะจ๊ะ”
       “ชั้นโทร.ไปที่ไร่ นังน้อยเล่าให้ฟังหมดแล้ว”
       สองแม่ลูกสบตากันไปมา ปิ่นอนงค์ก้มหน้าหลบตาอุ่นเรือน
       
       ที่หน้าสำนักงานธีระ เจิดกับก้าน ยกลังเหล้าสี่ลังลงจากรถ ธีระยืนมองยิ้มๆ
       “ไอ้ใหญ่เอ๊ย อยู่ป่าเขาคงไม่เคยฟาดของดี ของนอกเห็นอย่างนี้คงยั้งไม่อยู่แน่”
       ก้านยกลังเหล้าเข้าสำนักงานเจิดบอก “ท้ายรถ ยังมีสำรองอีกนะนาย”
       ธีระส่งเงินให้เจิดกะก้านคนละสองหมื่น
       “แกกับไอ้ก้าน ทำตามแผนก็แล้วกัน ถ้าสำเร็จ ชั้นจะจ่ายให้อีกเท่านึง”
       สองทรชน ตาลุก
       ใหญ่พิงต้นไม้แอบมองอยู่มุมหนึ่งไกลๆ สงสัยว่าพวกธีระจะทำอะไรกัน ใหญ่สะดุ้ง โทรศัพท์สั่น
       ใหญ่เดินออกไปจากตรงนั้น
       ปลอดพูดโทรศัพท์อยู่ที่เหมือง “กะแล้ว ไอ้ปานต้องโกหกอา”
       “โธ่อา... อย่าไปดุไอ้ปานมันเลย ไม่ต้องห่วงผม ผมเอาตัวรอดได้แน่”
       “อย่าประมาทนะคุณใหญ่ ขนาดคุณไพศาลว่าแน่ๆ แล้วยังเสียท่าครองสุขได้” ปลอดเตือน
       ใหญ่เครียด “ผมไม่ลืมหรอกอา เรื่องการตายของพ่อ ผมต้องสืบหาความจริงให้ได้”
       
       เวลานั้นปลอดนั่งเก้าอี้หวายที่ระเบียง ในบ้านพักที่โรงโมหิน ถือโทรศัพท์คุยกับใหญ่อยู่ พงษ์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา “เกิดเรื่องแล้วนาย คนงานมันเมาทะเลาะกันอีกแล้ว ผมเอาไม่อยู่จริงๆ”
       ปลอดลดมือที่ถือโทรศัพท์ลง พูดกับพงษ์ “แอบต้มเหล้ากินกันอีกแล้วใช่มั้ย”
       “ครับ”
       ปลอดรู้สึกตัว รีบยกโทรศัพท์พูดต่อ
       “ขอโทษคุณใหญ่ ไอ้พวกคนงานมันต้มเหล้าเถื่อนกินกันอีกแล้ว คุณใหญ่ก็รู้ดีนี่ครับ ว่าฤทธิ์ไอ้เหล้านี่ มัน...ขนาดไหน จากคนกลายเป็นหมาได้เลย เดี๋ยวผมขอตัวไปจัดการพวกมันหน่อย ระวังตัวนะครับ”
       “ขอบคุณครับอา คำพูดของอาทำให้ผมเพิ่งคิดอะไรออก”
       ใหญ่กดวางสาย นิ่งคิดแล้วยิ้ม คิดแผนออกแล้ว
       “ไม่เลวนี่ คิดจะพึ่งน้ำเปลี่ยนนิสัยเหรอ เดี๋ยวจัดให้”
       
       ปิ่นอนงค์ขับรถกระบะเข้ามาจอดที่หน้าเรือนใหญ่ อุ่นเรือนรีบลงจากรถ น้อยวิ่งเข้ามาไหว้ รับ
       “สวัสดีป้าอุ่น ดีใจจังเลยป้ากลับมาแล้ว พี่ปิ่น คุณนายบ่นอยู่ว่า พี่จ่ายกับข้าวกลับมารึยัง”
       อุ่นเรือนพยักหน้ารับไหว้น้อย แล้วรีบเดินเลี่ยงไป
       “คุณนายอยู่ไหน” อุ่นเรือนถาม
       “ในห้องจ้ะ”
       อุ่นเรือนเดินไป ปิ่นอนงค์บอกน้อย “งั้นเร็วน้อย ขนของเข้าครัวกันเถอะ”
       สองสาวหยิบจับถุงกับข้าวหลังรถวุ่นวาย ใหญ่เดินผ่านมา
       “โอ้โห ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”
       “ของที่จะทำกับข้าวเลี้ยงกันเย็นนี้ค่ะ” ปิ่นอนงค์บอก
       “ท่าทางจะเป็นงานใหญ่น่าดู” ใหญ่แซว
       “ใหญ่ซิคะ คุณนายบอกเลยว่าทุ่มไม่อั้น พวกคนงานคงดีใจกันตายเลย กินผัดถั่วงอกกับเต้าหู้กันมาเป็นเดือนๆ แล้ว” น้อยเหลืออดบ่นอุบ
       ปิ่นอนงค์ปราม “น้อย”
       น้อยหุบปากรีบถือของไป ปิ่นอนงค์ก้มหน้าก้มตา รวบของที่เหลือจะไป แต่พอก้าวทางนี้ใหญ่ก็ก้าวมาดัก ก้าวอีกทางใหญ่ก็ดักอีก ปิ่นอนงค์ถอยหนีจนหงายเงิบ ใหญ่คว้าตัวไว้ทันปิ่นอนงค์ตกใจ เงยหน้ามอง ใหญ่ยิ้มกรุ้มกริ่ม นัยน์ตาพราว ปิ่นอนงค์รีบผลักใหญ่ออก
       “ขอโทษค่ะ”
       ใหญ่ดมตัวเอง “ชั้นเหม็นสาบมากหรือไง ถึงต้องโดดหนีขนาดนั้น”
       “ไม่ใช่นะคะ คุณใหญ่”
       “อืม ไม่ได้แล้ว คุณน้าอุตส่าห์เลี้ยงให้ชั้นทั้งที ชั้นจะงอมืองอเท้าได้ยังไง ต้องแสดงฝีมือมั่ง ขอกุญแจรถหน่อย”
       
       ปิ่นอนงค์ยื่นกุญแจให้ ใหญ่เดินผิวปากขึ้นรถขับไป ปิ่นอนงค์งวยงง ไม่รู้จะมาไม้ไหน มุกไหน?

-------------------------------------------------------

โปรดติดตามตอนที่ 3

No comments:

Post a Comment