Sunday, July 29, 2012

ดูละครปิ่นอนงค์ ตอนที่ 22 Pin Anong 偷心俏冤家 22 END

>> Watch Online ปิ่นอนงค์ Pin Anong 偷心俏冤家 EP022 END (Chinese Sub)

ปิ่นอนงค์ ตอนที่ 22 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ครองสุขขับรถพ้นเขตไร่ไพศาลออกสู่ถนนแล้ว นางมารร้ายเขม้นตามองไปเบื้องหน้าจ้องตาไม่กระพริบ เห็นใหญ่ยืนจังก้าขวางถนน อยู่หน้าตาดุดันถือปืนยืนนิ่ง มีคราบเลือดของปิ่นอนงค์เปรอะเลอะที่แขน และตามเสื้อผ้า       
       ครองสุขทั้งตกใจ ทั้งโมโหที่ใหญ่ตายยากตายเย็น
       “ไอ้ดื้อด้าน ทำไมแกไม่ตายไปสักทีนะตามราวีฉันไม่ยอมเลิกก็ได้ มาเลย วันนี้ฉันจะแลกชีวิตกับแก”
       ครองสุขยิ้มเหี้ยมเร่งความเร็วหวังชนใหญ่ สีหน้าใหญ่จดจ้องที่รถครองสุขเขม็ง
       พอครองสุขพุ่งเข้ามา ใหญ่ยกปืนยิง ปัง! ยางล้อแบนบดถนน รถเสียหลักตกข้างทาง ครองสุขดึง




ลิ้นชักรถ หยิบปืนพกเล็กออกมา ก่อนจะออกมาจากรถมาอย่างทุลักทุเล สอดส่ายปืนมองหาใหญ่
       ใหญ่โผล่มาทางด้านหลัง ครองสุขหันมา ใหญ่จับปืนดึงมาจากมือครองสุข เล็งปืนของตัวเองไปที่ครองสุข
       ครองสุขหน้าตาตื่น “เราคุยกันดีๆ ก็ได้นะคะคุณใหญ่ เอาปืนออกไปก่อนก็ได้”
       “กลัวตายเป็นเหมือนกันหรือคุณนาย”
       “ตำรวจกำลังตามมา ถ้าแกยิงฉัน แกก็ไม่รอดเหมือนกัน”
       ใหญ่ยิ้มเยาะ “ถึงเวลานี้จะติดคุกหรือโดนยิงเป้าฉันก็ไม่สนอีกแล้ว วันนี้จะเป็นวันที่เราสองคนจะจบปัญหาทั้งหมดที่แกก่อขึ้น”
       “แน่ใจหรือว่ามันเกิดจากฉัน ลองคิดให้ดี วันที่ฉันเหยียบมาที่ไร่ไพศาลเพราะฉันบ้านแตกสาแหรกขาด หวังพาลูกมาพึ่งใบบุญคุณไพศาล ไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร แต่แกแค่เห็นหน้าฉัน ก็ตั้งป้อมเป็นศัตรูรังเกียจฉันกับลูก ความบาดหมางของเรามันเริ่มต้นจากแกก่อน” ครองสุขเริ่มโยนความผิดให้ใหญ่อีกครั้ง
       “ฉันมันก็แค่เด็กคนนึง ทำไมคุณนายไม่ทำดีกับฉัน กลับทำตัวเป็นนางมารร้ายเสี้ยมให้พ่อเกลียดฉัน”
       “ก็แกเป็นเด็กร้ายกาจเอาแต่ใจ คิดแต่จะให้พ่อรักแกคนเดียวไม่เคยเห็นใจหรือสงสารฉันกับลูก เด็กขี้อิจฉาอย่างแกนะหรือจะยอมรับฉันเป็นแม่เลี้ยง”
       ใหญ่ส่ายหน้า ดวงตาร้าวราน
       
       เวลาเดียวกัน ร่างของปิ่นอนงค์นอนนิ่งอยู่บนเตียงรถเข็น ที่ถูกเข็นมาที่ห้องผ่าตัดเร็วรี่ อุปกรณ์ช่วยชีวิตครบ เปี๊ยกถือไม้เท้าของไพศาลติดตัว วิ่งตามรถจนถึงหน้าห้องผ่าตัด ปิ่นอนงค์ถูกเข็นเข้าห้องไป ประตูปิด
       เปี๊ยกเครียด ยืนชะเง้อชะแง้ตามอย่างระทึก
       
       ด้านครองสุขยังคงโต้เถียงกับใหญ่อย่างไม่รู้สำนึก
       “ใช่มั้ยไอ้ใหญ่ ใช่มั้ย ชั้นพูดถูกมั้ย”
       “ใช่ คุณนายพูดถูก แต่ถึงจะยังไงฉันก็ไม่มีวัน ยอมรับนับถือผู้หญิงใจร้าย เลวทรามอำมหิตอย่างแกมาเป็นแม่เลี้ยงหรอก แกคบชู้ แกฆ่าพ่อฉัน”
       ใหญ่ยิงปืนปัง ครองสุขสะดุ้ง เซนิดๆ ก้มมองตัวเอง ใหญ่ยิงแค่เฉียดๆ ครองสุขลูบตัวไปมานึกว่าโดนยิง “แต่พ่อฉันไม่ใช่ชีวิตเดียวที่คุณนายทำลาย ยังมีชีวิตของคนบริสุทธิ์คนอื่น กฎหมายเท่านั้นที่จะพิพากษาโทษคุณนาย”
       ใหญ่กระชากมือครองสุขหมับ ครองสุขไม่ยอมร้องโวยวาย “ไม่ไป ฉันไม่ไป”
       ใหญ่ได้ยินเสียงหวอรถตำรวจ มองไป เห็นรถตำรวจวิ่งมาแต่ไกลจากในไร่
       ใหญ่ซัดปืนใส่คอครองสุขสลบไปทันที จากนั้นจับครองสุขนั่งพิงล้อรถ
       ใหญ่รีบเดินเข้าพงหญ้าข้างทางหายไป
       รถตำรวจวิ่งเข้ามาจอด ตามด้วยรถปลอด ทีมตำรวจลงจากรถวิ่งตรงมายังครองสุข
       
       ที่หน้าห้องผ่าตัดจอมเวลานั้น ทุกคนกระวนกระวาย นั่งไม่ติดที่
       หมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัด เปิดผ้าคาดกันเชื้อ จินตนา น้อย และหวาน ลุกพรวดเดียวมาล้อมหมอ ถวิลลุ้นตัวสั่น หมอหันมาคุยกับถวิล
       “คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ โชคดีจริงๆที่ลูกปืนไม่โดนอวัยวะสำคัญเลยสักนัด ที่สำคัญคนเจ็บแข็งแรงแล้วก็ใจสู้มากยินดีด้วยครับคุณลุง”
       หมอเดินไป ถวิลหันมายิ้มดีใจกับทุกคน
       จอมนอนบนเตียง ถูกเข็นออกมา มีถุงเลือด น้ำเกลือ ให้ออกซิเจนครบครัน
       ถวิลรีบตามเตียงเข็นไป
       หวานเอ่ยขึ้น “โชคดีของไอ้จอม ที่บังเอิญคุณจินแวะมาหาปิ่น”
       “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก จอมเป็นคนโทร.ตามฉันมา ให้มาช่วยปิ่น ก่อนที่จอมจะโดนยิง” จินตนาบอก
       “แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณจินที่มาช่วยปล่อยเราออกมา ไม่งั้นน้อยกับพี่หวานคงอดข้าวอดน้ำตายอยู่ในกระท่อมท้ายไร่นู่น” น้อยว่า
       “อย่ามัวมาขอบใจกันอยู่เลย ไปดูปิ่นกันเถอะ”
       จินตนา น้อย ถวิล และหวาน รีบวิ่งตามกันไปที่ห้องผ่าตัดปิ่นอนงค์
       
       ปิ่นอนงค์ได้รับการผ่าตัดโดยทีมแพทย์ ที่ยามนี้ มือหมอ เครื่องมือต่างๆ สาละวนอยู่บนร่างปิ่นอนงค์ เพื่อชีวิตแสนดีนี้ไว้ ขณะที่สัญญาณชีพจรขอเธอบนจอ กลับอ่อนลงๆ หมอ พยาบาล หันมาสบตากัน
       
       ปลอด ปานเทพ และเปี๊ยก ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้อง
       “แน่ใจนะว่าคุณใหญ่ปลอดภัยแน่ ป่านนี้ยังไม่เห็น” ปลอดถามหน้าเครียด
       “ถ้ามันโทร.มาหาผมได้ แสดงว่ายังมีชีวิตอยู่แน่ แต่มันคงกลัวจะเจอตำรวจ เพราะมันยังอยู่ในหมายจับ”
       เสียงใหญ่ดังขึ้น “อาปลอด ไอ้ปาน”
       ใหญ่สวมหมวกแก๊บพรางตัววิ่งเข้ามากอดกับปลอด
       “ปิ่นเป็นยังไงบ้างครับอา” ใหญ่ถาม
       “ยังอยู่ในห้องผ่าตัด คุณใหญ่ใจเย็นๆก่อน เกิดตำรวจมาเจอตัวเข้าจะยุ่ง”
       ใหญ่ไม่สน “ขอให้ปิ่นปลอดภัย ผมยอมเข้าคุก”
       จังหวะนั้นหมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัด ใหญ่รีบเข้าไปหา
       “คุณหมอครับ เมียผมเป็นยังไงบ้าง”
       “น่าเป็นห่วงทั้งแม่ทั้งลูก คนเจ็บเสียเลือดไปมาก” หมอว่า
       ใหญ่ตกใจ “ลูก ลูกใครครับ”
       “อ้าว...คุณเป็นสามีไม่รู้เหรอว่าภรรยาคุณตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ขอตัวนะครับ ผมต้องรีบติดต่อเรื่องเลือดให้ภรรยาคุณเราต้องการเลือดกรุ๊ปโอด่วนเลย”
       ใหญ่ใจหายวาบ เซไปทรุดนั่งอย่างหมดแรง “ปิ่น ปิ่นท้อง ทำไมผมไม่รู้เรื่อง หรือระแคะระคายอะไรเลย”
       ปานเทพเข้ามาตบบ่าปลอบ “ปิ่นอาจไม่รู้ว่าตัวเองท้องก็ได้”
       พยาบาลสวมชุดเขียวกันเชื้อ ถือถุงเลือดจะเข้าห้อง ใหญ่รีบวิ่งตาม พยาบาลชะงัก 
       “เข้าไม่ได้นะคะ เดี๋ยวคนเจ็บติดเชื้อจะไปกันใหญ่ ญาติๆ ช่วยหาเลือดกรุ๊ปโอดีกว่า ที่คลังเลือดไม่เหลือแล้วค่ะ”
       ถวิล น้อย หวาน และจินตนาวิ่งเข้ามาพอดี
       ใหญ่ยื่นแขนให้พยาบาล “เลือดหรือครับ เอาเลือดผมไป เอาไปช่วยเมียผม”
       เปี๊ยกกะปานเทพดึงแขนใหญ่เอาไว้ “ตั้งสติหน่อยไอ้ใหญ่ เลือดแกไม่ใช่กรุ๊ปโอ”
       พยาบาลเดินเข้าห้องผ่าตัดไปอย่างเร็ว
       หมู่มวลมองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างพึมพำ “เลือดกรุ๊ปโอ”
       
       จอมนอนให้ออกซิเจน น้ำเกลือ เลือด ตาปรือ อยู่บนเตียง จอมขยับตัวจับแขนถวิลที่อยู่ข้างเตียงกับจินตนา
       จังหวะนั้นจอมดึงที่ครอบจมูกออกพูดเสียงแผ่วๆ “พาชั้นไปให้เลือดปิ่น ชั้นเลือดกรุ๊ปโอ”
       “ไม่ได้หมอเค้าบอกแล้ว เอ็งเสียเลือดไปมากอาจถึงตายได้”
       “ชีวิตชั้นมันไม่มีค่าอะไร แต่สำหรับปิ่น ปิ่นยังมีลูกอีกคนอยู่ในท้อง”
       จอมจะไปให้ได้ ถวิลเสียงดังใส่ “ใครว่า ชีวิตเอ็งไม่มีค่าอะไร เอ็งมีค่ากับไอ้แก่คนนี้นี่ไง ถ้าเอ็งเป็นอะไรไปข้าก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเหมือนกันไอ้ลูกโง่”
       
       น้ำตาจอมไหลริน หนุ่มเลือดร้อนร้องไห้ครวญคร่ำอย่างน่าเวทนา “ชั้นรักพ่อ แต่ชั้นต้องชดใช้ให้ปิ่น ชั้นมีส่วนทำให้ป้าอุ่นต้องตาย คุณจินเรียกหมอมาเอาเลือดผมไปให้ปิ่นด้วย ปิ่น...ปิ่น...”
       จอมหมดสติไป ถวิล กับจินตนาตกใจ พยาบาลเข้ามาครอบจมูกให้จอม ฟังคลื่นหัวใจ จับชีพจร 
       ถวิลร้องลั่น “ลูกผมๆ”
       “คนเจ็บหลับค่ะ เสียเลือดไปมากให้เค้าพักผ่อนดีกว่านะคะ”
       พยาบาลดูน้ำเกลือ ดูเลือด จินตนาแตะแขนถวิลแล้วเดินออกจากห้องไป
       
       ใหญ่นั่งหมดอาลัยตายอยากจนถึงตอนเช้าวันต่อมา ปานเทพเดินเข้ามาหาซึมๆ
       “ไปพักผ่อนซะบ้างไอ้คุณใหญ่ เดี๋ยวจะเจ็บไข้ได้ป่วยไปอีกคนมันจะยุ่ง”
       “ชั้นจะรอจนกว่าปิ่นจะออกมา ทำไมถึงเป็นอย่างนี้วะ ยัยเด็กคนนี้ดีแต่ทำเพื่อคนอื่น จนชั้นกับใครๆก็มองว่าเป็นคนโง่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ จุ้นจ้านอยากช่วยคนนั้นคนนี้ พอถึงคราวจะตาย สวรรค์กลับไม่ช่วย มันไม่ยุติธรรมเลยว่ะ ทำไมคนเลวอย่างชั้นถึงไม่เป็นอะไร ชั้นสมควรตายมากกว่า”
       ใหญ่พร่างพรูความรู้สึก ก่อนจะซบหน้าลงกับฝ่ามือ
       ปานเทพปลอบตบไหล่ใหญ่เบาๆ
       จังหวะนั้นเสียงอรสอางค์ดังขึ้น “คุณใหญ่ คุณใหญ่คะ”
       ใหญ่ กับปาน เหลียวไปพร้อมกันเห็นอรสอางค์เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
       “อรเลือดกรุ๊ปโอคะ เราได้เลือดมาจากกรุงเทพฯด้วย เผื่อว่าเลือดอรคนเดียวไม่พอ”
       ใหญ่ลุกขึ้นด้วยความดีใจ “เออ คุณอรรู้ข่าวได้ยังไง”
       “อรโทร.หาปิ่นค่ะ แต่คุณจินตนาเป็นคนรับสาย เร็วเถอะค่ะ ติดต่อกับหมอให้อรด้วย”
       ทั้งหมดรีบออกจากห้อง
       
       เวลาเคลื่อนคล้อยไป จอแสดงสัญญาณชีพจรของปิ่นอนงค์ อ่อนแรงลงทุกทีๆ

-----------------------------------------------

ขณะเดียวกัน นางมารร้ายครองสุขยืนแกร่วอยู่ในห้องขัง ทรรศนะ กับทัศนีย์ เกาะลูกกรงตาละห้อย ทัศนีย์สะอึกสะอื้น เช็ดน้ำตาป้อยๆ ครองสุขตวาดแว้ด       
       “แกจะร้องไห้ทำไมยัยนี ชั้นยังไม่ได้ตายซะหน่อย มาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าฉันจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”
       “คุณน้าไม่น่าหนี ทนายบอกว่าจะขอประกันยาก” ทรรศนะเอ่ยขึ้น
       “ฉันก็บอกไปแล้วว่าฉันตกใจๆ ถ้ามันไม่มีปัญญาก็เปลี่ยนทนายใหม่ซิ” ครองสุขหงุดหงิด
       “แต่ยังไง ด้วยพยานหลักฐาน คงจะพ้นผิดยาก ทนายแนะนำให้คุณน้ายอมรับสารภาพจะได้รับการลดโทษในชั้นศาล” ทรรศนะว่า
       ครองสุขโกหก “น้าก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว อะไรที่น้าทำผิดไปน้าจะสารภาพยอมรับผิดทุกอย่างแต่นะต้องพยายามประกันน้าออกไปให้ได้ก่อนนะ น้าอยากจะมีเวลาทำใจก่อน”
       ทัศนีย์อดเหน็บไม่ได้ประสาสาวปากไว “แล้วทีเวลาทำร้ายใคร คุณน้าไม่คิดก่อนละคะ”
       ครองสุขแว้ดใส่ทันควัน “นังนี แกมันเป็นลูกฉันหรือเปล่า ถึงดีแต่เข้าข้างคนอื่น” ครองสุขแกล้งร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจหนัก “งั้นพวกแกก็ปล่อยให้ฉันตายคาห้องขังนี่ไปเลย”
       ทรรศนะมองหน้าทัศนีย์เป็นเชิงบอกให้หุบปาก ทัศนีย์หน้าเศร้าลง ลึกๆ ในใจก็ห่วงแม่เหมือนกัน
       
       ปิ่นอนงค์ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องไอซียู อุปกรณ์ช่วยชีวิตครบ จอแสดงสัญญาณชีพจร พยาบาลเข้ามาแขวนถุงเลือดถุงใหม่
       ใหญ่เกาะกระจกอยู่หน้าห้อง “ตื่นเร็วสิปิ่น ชั้นรอเธออยู่นะ ต่อไปนี้ชั้นจะไม่แกล้งเธออีกแล้ว ชั้นจะไม่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตาอีกต่อไป”
       ถวิลเข้ามาหา ยื่นไม้เท้าให้ใหญ่ “ปิ่นกอดไม้เท้าเอาไว้แน่น ตอนที่ไอ้เปี๊ยกพามาส่งโรงพยาบาล ถ้าผมจำไม่ผิด มันเป็นไม้เท้าของนายท่าน คุณใหญ่เก็บเอาไว้เถอะครับ”
       ถวิลออกไปนอกห้อง ใหญ่ถือไม้เท้าเพ่งมอง
       “พ่อไม่เคยรักผม มีแต่ปิ่นเท่านั้นที่รักผม นี่พ่อยังคิดจะมาพรากปิ่นไปจากผมอีก ผมไม่ต้องการอะไรที่เป็นของพ่อ”
       ใหญ่เขวี้ยงไม้เท้าไปที่มุมห้อง ไม้เท้าหักสองท่อน
       มีกระดาษม้วนเป็นไส้อยู่ข้างในยื่นออกมา ใหญ่ขมวดคิ้วมอง ก่อนจะเดินไปจุดที่ไม้เท้าทั้งสองท่อนหยิบกระดาษออกมาจากไม้เท้า คลี่ออกดู
       ใหญ่มองเห็นลายมือของไพศาลตัวอักษรโย้เย้เพราะเขียนตอนป่วย
       ใหญ่ๆ อ่านไป ราวกับฟังเสียงพ่อที่ข้างหู
       “ข้าพเจ้า นายไพศาล ธำรงรัตน์ ขอยกทรัพย์สิน อันพึงมีพึงได้ทั้งหมด...”
       ภาพจำในอดีตของพ่อผุดขึ้นในหัวของใหญ่
       ใหญ่โดนไพศาลตบ ไพศาลชี้หน้าด่าใหญ่จะตีด้วยไม้เท้า อีกครั้งใหญ่ยื้อแย่ง ปาไม้เท้าพ่อทิ้ง เดินหนีไป
       กระทั่งภาพไพศาลนั่งอยู่บนรถเข็น พยายามเขียนพินัยกรรมอย่างยากลำบาก ในห้วงสุดท้ายของชีวิต
       “...ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อันมีที่ดิน สองพันสี่ร้อยยี่สิบไร่ บ้าน และเงินในธนาคารให้กับบุตรชายคนเดียวของข้าพเจ้าคือนายชาลิต ธำรงรัตน์”
       
       ใหญ่อึ้ง ค่อยๆ อ่านต่อ
       “ใหญ่ลูกรัก นี่คือสิ่งเดียวที่พ่อทำให้ลูกเพื่อเป็นการไถ่โทษยกโทษให้พ่อด้วย พ่อรักแกมากกว่าสิ่งใดๆ ในโลก”
       น้ำตาใหญ่หยดลงบนกระดาษ ใหญ่หันไปหาปิ่นอนงค์
       “เธอไม่ได้โกหกชั้นปิ่นอนงค์ พ่อไม่ได้เกลียดชังชั้น พ่อรักชั้น ฉันต่างหากที่เป็นคนโง่”
       ถวิลสงสารจับใจ “คุณใหญ่”
       เสียงสัญญาณชีพจรหยุด เครื่องร้อง ใหญ่สะดุ้ง หันไปมองหน้าจอ
       สัญญาณบอกว่าหัวใจหยุดเต้น ใหญ่ตะลึง ตาค้าง
       “ปิ่น”
       
       หมอ พยาบาล ช่วยกู้ชีวิตปิ่นอนงค์ ตรวจดูม่านตา เช็กเครื่องปั๊มหัวใจ กดปั๊มหัวใจด้วยมือ ดูวุ่นวายไปหมด ทว่าจอภาพไม่เปลี่ยนแปลง
       หมอหยุดมองทีมงาน บุรุษพยาบาล พยาบาลหยุดกันหมด รายงานเวลาเสียชีวิต สักครู่หนึ่งหมู่มวลทยอยเดินออกจากห้องไป
       หมอเดินมาหาใหญ่ที่มุมห้อง มีจินตนา กับปานเทพ ลุ้นฟังผลผ่าตัดอยู่ข้างใหญ่
       “เสียใจด้วยครับ”
       หมอเดินออกไป
       ใหญ่เดินช็อกไปที่เตียง กอดปิ่นอนงค์ไว้ทั้งตัว ลูบหัว ร้องไห้
       “ปิ่นอนงค์ ปิ่น อย่าทิ้งชั้นไป อย่าทำอย่างนี้กับชั้น ชั้นรักเธอปิ่นอนงค์”
       
       ปิ่นอนงค์เดินร่าเริงอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สวยงามราวกับภาพวาด ปิ่นอนงค์ลูบไล้กลีบดอกไม้ตามรายทางอย่างสุขใจ ก่อนจะเดินตามผีเสื้อแสนสวยไป พลางยื่นมือออกไปจะแตะผีเสื้อตัวนั้น
       ครั้นพอหันไปมองหญิงสาวก็เห็นอุ่นเรือนยืนยิ้มอยู่กลางทุ่งดอกไม้ ปิ่นอนงค์ดีใจมาก
       “แม่ แม่ขา”
       ปิ่นอนงค์วิ่งเข้าไปหา อุ่นเรือนยื่นมือรอรับ ปิ่นอนงค์ส่งมือให้แม่ อุ่นเรือนดึงปิ่นอนงค์เข้าไปกอด
       สองแม่ลูกจูงกันเดินไป
       
       ใหญ่วางไม้เท้าที่หักไว้บนตัวปิ่นอนงค์ เอามือปิ่นอนงค์มากุมไว้
       “ถ้าวิญญาณพ่อให้อภัยลูกเลวๆ คนนี้ ช่วยเมียผมกับหลานของพ่อด้วยเถอะครับ”
       ใหญ่ซบหน้าร้องไห้บนมือปิ่นอนงค์ฟูมฟายไม่หยุด “ปิ่น ปิ่น...อย่าไปนะ ปิ่น”
       จินตนาปล่อยโฮ ปานเทพอึ้ง
       ใหญ่ขยับขึ้นไปสวมกอดปิ่นอนงค์บนเตียงใจจะขาดรอนๆ
       
       ในทุ่งดอกไม้แห่งนั้น อุ่นเรือน จูงปิ่นอนงค์เดินไป สองคนยิ้มแย้มให้กัน จังหวะหนึ่งที่แก้มของปิ่นอนงค์มีน้ำหยดลงมา
       ปิ่นอนงค์ชะงักลูบแก้ม ยินเสียงสะท้อนของใหญ่ เรียกหา “ปิ่น”
       ปิ่นอนงค์หันไปมองอุ่นเรือน “แม่...คุณใหญ่”
       อุ่นเรือนยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้ แล้วปล่อยมือ ปิ่นอนงค์หันหลังกลับวิ่งไปเร็วรี่กลางแสงสีขาวเจิดจ้า
       
       ใหญ่หัวใจสลายเอาแก้มแนบซบไหล่ปิ่นอนงค์กลั้นก้อนสะอื้น มือใหญ่จับมือปิ่นอนงค์แน่น อีกข้างโอบหัวไว้ จังหวะนั้นเสียงหัวใจปิ่นอนงค์ทำงาน ที่เครื่องวัดสัญญาณชีพจร จอทำงาน เส้นกราฟเดิน
       และที่มือปิ่นอนงค์ในมือใหญ่ก็เริ่มขยับ ใหญ่ยิ้มดีใจสุดชีวิต ยอดรักของเขากลับมาแล้วด้วยแรงรักที่เขาผ่องถ่ายส่งไปให้
       “ปิ่นอนงค์” ใหญ่ร้องลั่น “หมอ....”
       
       ทีมหมอวิ่งเข้ามางงๆ จ้องจอดูสัญญาณชีพจรเขม็ง จินตนา ปานเทพ และถวิลวิ่งเข้ามา ต่างชะเง้อชะแง้ดู อย่างไม่เชื่อสาย

--------------------------------------------------------------------------------

เช้าวันต่อมาทรรศนะ ทัศนีย์ และทนายพาครองสุขเดินออกมาหน้าโรงพัก ทนายความกำชับครองสุขหนักแน่น       
       “คุณนายต้องมารายงานตัวทุก 15 วันนะครับ ส่วนเรื่องสู้คดีผมจะไปคุยซักซ้อมกับคุณนายอีกที”
       ครองสุขกร้าว “ฉันต้องชนะเท่านั้น จะหมดกี่ล้านฉันก็จ่ายให้”
       ทั้งหมดจะเดินไปต่อ เจอกับปานเทพ อาจารย์ทนาย พาใหญ่มามอบตัว
       เป็นการเผชิญหน้ากันอีกคราครั้งระหว่างครองสุขกับใหญ่
       ใหญ่มองหน้าครองสุข ลอยหน้ายียวน “ใครที่รู้ตัวว่าฆ่าพ่อฉัน ก็ควรรีบสารภาพแต่โดยดี โทษหนักจะได้เบาลง”
       ครองสุขยิ้มเย้ย “ฉันเห็นมีแต่ข้อกล่าวหาเลื่อนลอย ไม่ยักจะเห็นหลักฐานสักชิ้น” มองจ้องปานเทพ “คดีความน่ะเขาสู้กันด้วยหลักฐานไม่ใช่หรือคุณทนายปานเทพ”
       ปานเทพยิ้มเช่นกัน “คุณนายไม่ต้องห่วง ที่คุณใหญ่มามอบตัว ก็เพื่อเริ่มกระบวนการรื้อฟื้นการตายของคุณไพศาลไม่ใช่ป่วยแต่โดนวางยาพิษ รู้สึกว่ายังมีอีกหลายคดีนะที่มีเสี่ยตงเป็นพยาน”
       ครองสุขหวั่นใจ แต่ปากแข็ง “โถ ใครจะเชื่อว่าผู้หญิงตัวนิดเดียวจะฆ่าใครได้ตั้งมากมายพูดเป็นหนังไปได้”
       ทรรศนะรีบดึงแขนแม่ให้เดินต่อ ครองสุขยอมไป ใหญ่มองตามพยายามระงับความโกรธ
       อาจารย์ทนายพาใหญ่ไป ปานเทพจะตาม แต่ปรากฏว่าทัศนีย์ดึงมือไว้ ปานเทพหันไปหา
       “คุณนี”
       “นายปาน คุณน้าจะต้องติดคุกกี่ปี จะถึงตลอดชีวิตมั้ย หรือว่าจะต้องโดนประหาร”
       “ขึ้นอยู่กับคุณนายยอมรับผิดหรือเปล่า ถ้าไม่หรือยังคิดหนีก็อาจจะโทษหนัก”
       “ฉันควรจะทำไง ฉันเป็นลูกแต่ช่วยอะไรเค้าไม่ได้เลย”
       “มีอยู่ทางเดียว อย่าให้เค้าทำผิดไปมากกว่านี้”
       ปานเทพจับมือทัศนีย์ปลอบใจ
       
       พอกลับมาถึงเรือนใหญ่ ที่ไร่ไพศาล ครองสุขตีบทดราม่าแม่ผู้น่าสงสารทันที
       “ไอ้ใหญ่มันต้องหาทางยัดข้อหาให้น้าแน่ๆ” บีบน้ำตา “เห็นทีน้าคงไม่พ้นโทษประหารชีวิต ถึงน้าจะตายน้าก็ไม่กลัวหรอกห่วงก็แต่นะกับยัยนีจะอยู่กันยังไง”
       ทรรศนะหน้าเครียด “คุณน้าไม่ได้วางยาพิษลุงไพศาลจริงหรือครับ”
       “น้าสาบานได้ ถ้าน้าทำคนที่มีพระคุณอย่างคุณไพศาลขอให้น้าตายไม่ดี” ครองสุขจับมือนะ “นะ นะต้องช่วยพาน้าหนีนะ”
       ทรรศนะสีหน้าเครียดจัด
       
       ตอนค่ำวันเดียวกันนั้น ครองสุขหลบออกมาที่สวนหลังเรือน สีหน้าร้อนใจคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่
       “ขอบคุณนะคะเฮียที่ช่วยจัดการให้ ฉันจะให้ลูกน้องโอนเงินไปให้ทันที”
       ครองสุขตัดสาย ด้านหลังครองสุขเหมือนมีเงาคนเคลื่อนผ่าน
       ครองสุขสะดุ้งหันไปมอง แต่ไม่มีใคร ครองสุขรีบกลับเข้าเรือน
       ที่พุ่มไม้ไม่ไกลนักมีผู้ชายใส่หมวกบังหน้ายืนหลบอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นชัดว่าคือธีระ
       
       วันต่อมาใหญ่กับปานเทพเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
       “หลักฐานที่เรายื่นให้ทางตำรวจ มันชี้ชัดว่าแกไม่ได้มีส่วนทำให้ไอ้ผาตาย อย่างมากแกก็โดนข้อหาทำร้ายร่างกายโดยไม่เจตนา ยิ่งตอนนั้นแกยังเป็นเยาวชน คงโดนแค่รอลงอาญาเท่านั้น ส่วนข้อหาที่แกหนีการจับกุม นี่ยุ่งยากหน่อย พ่อฉันคงต้องโดนด้วย ฉันกำลังพยายามอยู่”
       “ทำยังไงก็ได้ ให้ความผิดมันตกที่ฉันคนเดียว ถ้าต้องโทษติดคุกฉันก็ยอมรับเว้ย เพราะฉันมันก็เลือดร้อนไม่รู้จักคิดจริงๆ”
       พูดจบใหญ่จับไหล่ปานเทพให้หันมา “แกต้องดีกับอาปลอดให้มากๆ นะโว้ย อย่าให้เหมือนฉัน ที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว”
       ใหญ่มีสีหน้าเจ็บปวดนึกถึงความสัมพันธ์แย่ๆ ของตนกับพ่อ คำพูดใหญ่ประโยคนั้นกระแทกลิ้นปี่ปานเทพจังๆ
       
       อดีตเสือร้ายจอมปลอม ปานป่าหวาย คิดถึงพ่อขึ้นมาครามครัน

------------------------------------------------------------------------------

  ปลอดอยู่ที่วัดแถวบ้าน เอาดอกไม้วางที่เจดีย์ใส่กระดูก มองรูปเพ็ญส่งจิตล่องลอยไป หวังให้ถึงนางอันเป็นที่รักผู้จากไปไม่มีวันกลับ 
       “ขอให้เธอไปสู่สุคติในสัมปรายภพนะ ขอบใจเหลือเกินที่ยอมมาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน”
       ปานเทพอยู่ข้างหลังมองพ่อ มองภาพเบื้องหน้า ด้วยสีหน้าหมองเศร้า
       
       เวลาต่อมาปลอดกับปานเดินคุยกันมาตามทางในวัดแห่งนั้น  ปลอดมองหน้าปานเทพ ปานเทพเองก็หันมามองพ่อ
       ปานเทพงวยงง “มองอะไรพ่อ” เห็นพ่อจ้องเอาๆ ปานเทพชักนอยด์ เอามือจับหน้าตัวเอง “หน้าฉันมีอะไรผิดปกติหรือ”
       ปลอดเอ่ยขึ้น “แกโตขึ้นมากนะปาน”
       ปานเทพดี๊ด๊า “พ่อจะชมว่าฉันเก่ง สามารถช่วยเหลือไอ้ใหญ่ ช่วยพ่อจนออกมาเดินสบายอารมณ์ได้ใช่มั้ยล่ะ”
       ปลอดหมั่นไส้ “เอ้อ เอ็งเก่ง”
       ปานเทพยิ้มร่าเข้าไปกอดแขนอ้อนราวกับเด็กๆ “แหมพ่อจะพูดกับฉันหวานๆ กว่านี้ไม่ได้หรือ ดูมันไม่ค่อยจริงใจเลย”
       ปลอดรำคาญดึงแขนออก “ฉันพูดหวานไม่เป็นเว้ย” แล้วเดินไป
       ปานเทพตามไปกอดรัดพ่อเป็นเด็กๆ “งั้นผมพูดเองก็ได้ว่าผมรักพ่อ ผมรักพ่อ ผมรักพ่อ”
       ปลอดหัวเราะลั่น ขยี้หัวปาน “ไอ้บ้า จักกะจี้โว้ย”
       “ไม่รู้ ถ้าพ่อไม่ยอมบอกว่ารักผม ผมจะกอดให้หายใจไม่ออกเลย”
       “หมาน้อยเอ๊ย มีใครที่ไหนจะรักลูกคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง”
       ปลอดกอดตอบ ปานเทพยิ้มแป้นมีความสุขยิ่งกว่าสิ่งใด
       
       เวลานั้นปิ่นอนงค์นั่งพิงหัวเตียงในห้องพักฟื้น มองใหญ่อย่างไม่เชื่อหู
       “ปิ่นท้องหรือคะ”
       ใหญ่ยิ้มกว้างขณะจับมือปิ่นอนงค์ไปวางบนท้องตัวเธอเอง “ไงจ๊ะลูก ดูแม่เราสิ ขนาดตั้งท้องยังไม่รู้เรื่อง เพราะเธอมัวแต่ยุ่งเรื่องชาวบ้านจนลืมสังเกตตัวเอง มันน่าโดนตีนัก”
       ปิ่นอนงค์ดีใจจนร้องไห้ออกมา “แม่ขอโทษนะยัยหนู แม่มันไม่เอาไหนจริงๆ”
       ใหญ่ชะงักกับสรรพนามที่ปิ่นอนงค์เรียกลูกในท้อง “ยัยหนูหรือ ใครบอกเธอว่าลูกเป็นผู้หญิง ไม่ได้ มันต้องเป็นตาหนู เป็นผู้ชายเหมือนฉัน”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มทั้งน้ำตา ขำใหญ่
       “เหมือนคุณใหญ่ก็ดื้อตายเลยสิคะ ไม่เอาหรอกค่ะ เป็นผู้หญิงดีกว่า น่ารักขี้อ้อน ปิ่นอยากจับลูกมาถักเปียสองข้าง แล้วก็นุ่งกระโปรงฟูฟ่อง ดีมั้ยจ๊ะยัยหนู”
       ใหญ่ไม่ยอม “นี่ๆ อย่านะ ต้องเรียกว่าตาหนู”
       “ก็ปิ่นอยากได้ผู้หญิง ปิ่นไม่มีสิทธิ์คิดหรือหวังหรือคะ”
       “ไม่ได้ บ้านนี้ไม่มีระบอบประชาธิปไตย ฉันเท่านั้นคือคำสั่ง”
       ปิ่นอนงค์งอน หน้าคว่ำหันไปทางอื่น ใหญ่อมยิ้มที่แกล้งปิ่นอนงค์ได้...อีกครั้ง
       ใหญ่เข้าไปกอดปิ่นอนงค์ อ้อล้อ “ก็แค่ล้อเล่น ความจริงลูกจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายไม่สำคัญหรอก ขอให้น่ารักน่ากอดน่าหอมน่าจูจุ๊บเหมือนแม่ก็พอ”
       ปิ่นอนงค์อมยิ้มหันมาหาใหญ่ ใหญ่กอดปิ่นอนงค์ไว้ “รู้มั้ย ตอนเธอหมดสติ เธอบอกรักฉันด้วยนะ”
       “ปิ่นไม่ได้พูดสักหน่อย อย่ามาหลอกปิ่นเลย”
       “งั้นพูดตอนนี้เลยสิ ตอนนั้นเสียงปิ่นเศร้ามาก ฉันอยากลบมันทิ้งไป”
       “ปิ่นไม่เคยพูดซะหน่อย จะฟังอีกทำไม ไม่เบื่อเหรอคะ”
       “ไม่ ฉันอยากฟังทั้งวัน ทุกวัน”
       ใหญ่ควักโทรศัพท์ออกมา “เดี๋ยวฉันจะอัดเป็นริงโทนไว้เลย”
       “อย่านะ อายเค้า”
       “จะพูดมั้ย ไม่พูดจูบนะ”
       ใหญ่ยื่นหน้ามาหาให้ปิ่นอนงค์พูด “ปิ่นรักคุณใหญ่ที่สุดในโลกเลยค่ะ”
       ใหญ่ดีใจหน้าบานเป็นดาวเทียม หอมฟัดแก้มปิ่นอนงค์แรงๆ สามฟอดติดกัน
       “พูดแบบนี้รักตายเลย ชื่น....ใจ”
       “พอแล้วค่ะ” ปิ่นอนงค์ดันหน้าไว้
       ปิ่นอนงค์นึกขึ้นได้ “จอมละคะคุณใหญ่ จอมเป็นยังไงบ้าง”
       ใหญ่นึกถึงจอม ที่เพิ่งได้คุยกันก่อนหน้านี้
       
       วันนั้นจอมนั่งอยู่บนรถเข็น ซึ่งถูกเข็นมาจอดในสวนของโรงพยาบาล
       ที่แท้ใหญ่ยืนอยู่หลังรถเข็น และเอ่ยขึ้นก่อน “ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับนายดี”
       จอมนิ่งไม่พูดเหมือนยังโกรธอยู่ ใหญ่เดินไปยืนตรงหน้าจอม แต่จอมไม่มองหน้าใหญ่
       “ถ้านายอยากจะชกหน้าฉันให้หายแค้น ก็อัดมาให้เต็มที่เลย” ใหญ่ย่อตัวนั่ง “เอาเลยจอม เลือกชกได้เลย ตรงดั้งจมูก หรือเสยคางฉันก็ได้ฉันรู้ว่านายมีแรงเหลือเฟือ”
       จอมหันมามองหน้าใหญ่ตรงๆ สีหน้าเครียดขรึม
       จู่ๆ จอมยกมือขึ้นแล้วพนมไหว้ใหญ่ทั้ง 2 มือ จอมก้มหัวไหว้อย่างจริงใจ
       ใหญ่ตกใจ จอมเงยหน้า
       “ผมทำผิดกับคุณใหญ่ไว้หลายครั้ง ทำให้คุณใหญ่ต้องกลายเป็นฆาตกรฆ่าป้าอุ่น เพราะความโง่เขลาของผม ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
       ใหญ่ยิ้มออก “นายมันไม่ใช่คนโง่ แต่นายเป็นฮีโร่สำหรับฉันเว้ย”
       ใหญ่วางมือบนบ่าจอม “ฉันติดหนี้ชีวิตนาย”
       จอมกับใหญ่ยิ้มให้กัน
       
       พอฟังจบปิ่นอนงค์ก็เอ่ยขึ้น “ปิ่นอยากไปเยี่ยมจอม”
       “จอมกลับไปพักฟื้นที่ไร่แล้ว ส่วนปิ่นต้องรักษาตัวให้แข็งแรงขึ้นก่อนนะ จอมเขาไม่หนีไปไหนหรอก” ใหญ่บอก
       “ปิ่นดีใจที่คุณใหญ่กับจอมเข้าใจกันได้”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มกว้าง ใหญ่เองก็ยิ้มอย่างสุขใจเช่นกัน
       
       เย็นนั้น ครองสุขกับทรรศนะท่าทีมีพิรุธ รีบร้อนเดินออกจากเรือนมาหยุดที่ข้างรถคุยกัน
       “น้าติดต่อกับเพื่อนที่บ่อนแล้ว เขาบอกว่าจะมีคนมารอพาน้าข้ามชายแดนแถวสังขละบุรีคืนนี้”
       “ทันครับ ไปถึงก็น่าจะค่ำพอดี”
       ครองสุขกับทรรศนะแยกย้ายขึ้นรถ ทรรศนะเป็นคนขับออกไป
       ห่างออกไปอีกหน่อย ทัศนีย์ยืนหลบมุมมองอยู่ และได้ยินทั้งหมด
       
       ทัศนีย์ตกใจ กระวนกระวายใจ แล้วคิดบางอย่างออก

------------------------------------------------------------------

เวลานั้น ใหญ่เอาแต่นั่งเบียดปิ่นอนงค์อยู่บนเตียง ไม่ยอมขยับไปไหน       
       “คุณใหญ่ลงไปนั่งข้างล่างสิคะ พยาบาลมาเห็นเข้าจะว่าเอานะคะ”
       ใหญ่กอดปิ่นอนงค์ “ผัวเมียเขาห่วงใยไม่มีใครว่าหรอกนะ โดยเฉพาะคุณพยาบาลที่นี่ใจดีกับฉันทุกคน เขาปลื้มในความหล่อของฉัน”
       ขณะนั้นพยาบาลวัยกลางคนหน้าตาดุๆ เดินเข้ามา พยาบาลหน้าบึ้งที่เห็นใหญ่นั่งบนเตียง เสียงดุ
       “คนเฝ้าไข้ขึ้นไปนั่งบนเตียงอย่างนั้นไม่ได้นะคะมันผิดระเบียบเชิญที่โซฟาดีกว่าคุณ”
       ปิ่นอนงค์อมยิ้มขำๆ ใหญ่หน้าแตก จะลงจากเตียงปิ่นอนงค์ดึงไว้
       “ปิ่นเป็นคนขอให้คุณใหญ่ขึ้นมานั่งเองค่ะ ปิ่นขอแค่ครั้งเดียวค่ะ เพราะตอนที่ปิ่นหยุดหายใจไป ปิ่นกลับมาได้เพราะเสียงของคุณใหญ่เรียกไว้”
       พยาบาลใจอ่อน เอ่ยขึ้น “เคสของคุณปิ่นอนงค์ ทุกคนที่โรงพยาบาลพูดถึง รู้สึกประทับใจในความรักของคุณชาลิตที่มีต่อภรรยากับลูก รวมทั้งดิฉันด้วย จะอนุโลมให้สักครั้งนะคะ”
       พยาบาลยิ้มให้ใหญ่ แล้วเดินออกไป ใหญ่คุยฟุ้งทันที
       “เห็นมั้ยบอกแล้วว่าพยาบาลปลื้มฉัน ปิ่นอนงค์คู่แข่งเธอไม่ใช่น้อยๆ นะ สาวน้อยสาวใหญ่รุมตอมฉัน เพียบ”
       “ปิ่นไม่กลัวหรอก ตอนนี้ปิ่นมีลูกเป็นเพื่อนแล้ว คุณใหญ่จะไปยุ่งกับใครก็ตามใจ”
       ใหญ่โวยลั่น “เฮ้ย ไม่ได้นะ ห้ามรักลูกมากกว่าฉันด้วย”
       ใหญ่งอแง ปิ่นอนงค์ขำ
       ทัศนีย์ผลักประตูเข้ามาอย่างเร็ว
       ใหญ่กับปิ่นอนงค์มองทัศนีย์ ซึ่งพุ่งเข้าหาใหญ่ หน้าตาแตกตื่น “คุณใหญ่ นีสงสัยว่าพี่นะกำลังพาคุณน้าหนี นีได้ยินคุณน้าพูดว่าจะมีคนรอที่ชายแดนแถวสังขละอะไรนี่แหละค่ะ”
       ใหญ่ กะปิ่นอนงค์มองหน้ากัน ใหญ่รีบลงจากเตียง หยิบมือถือยัดใส่มือปิ่นอนงค์
       “ติดต่อปานให้โทร.แจ้งตำรวจด่วน ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน เส้นทางสู่ชายแดนสังขละบุรี”
       “นีขอไปด้วยค่ะ นีจะได้ช่วยเกลี่ยกล่อมคุณน้า”
       ใหญ่พยักหน้า ทัศนีย์วิ่งตาม ส่วนปิ่นอนงค์รีบกดมือถือโทร.ออกทันที
       
       รถทรรศนะวิ่งมาจอดที่ข้างทาง บนถนนเส้นทางเล็กๆ คดเคี้ยว และเป็นดินลูกรัง สองข้างทางเป็นหญ้ารก ครองสุขกับนะมองหน้ากัน
       ครองสุขสวมกอดทรรศนะ รวบรวมความกล้าพูดคำที่ไม่ได้พูดมานาน ครองสุขร้องไห้ออกมา
       “แม่รักลูก”
       ครองสุขผละออกจับมือทรรศนะกำชับเป็นครั้งสุดท้าย “ดูแลน้องให้ดี แล้วน้าจะหาทางติดต่อกลับมา
       ทรรศนะกุมมือแม่ร้องไห้ “แม่เลิกเล่นการพนันนะครับ แล้ว ...อย่าฆ่าใครอีก”
       ครองสุขหน้าเสีย รีบฝืนยิ้ม “น้ารู้ น้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่”
       ไฟสว่างวาบเข้ามาที่ด้านหน้ารถ ทรรศนะมองไกลออกไปเห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดเปิดไฟหน้าอยู่
       ครองสุขรีบบอก “สงสัยจะเป็นคนที่มารับน้า น้าไปนะ ดูแลตัวเองให้ดีด้วย อย่าขับรถเร็ว”
       ทรรศนะน้ำตาไหลพยักหน้า มือครองสุขชักออกจากมือจากทรรศนะ สองแม่ลูกมองกันอย่างอาลัยอาวรณ์
       ครองสุขตัดใจลงจากรถเดินตรงไป ทรรศนะก้าวตามลงจากรถยืนมองส่งแม่บังเกิดเกล้า
       
       ครองสุขหยุดเดินหันมาโบกมือให้ พอไปถึงรถกระบะ แสงจากไฟส่องเข้าตาครองสุขมองไม่เห็นใคร
       ครองสุขร้องถาม “คนของเฮียสมหมายใช่มั้ย”
       ธีระลงจากรถเดินมาหาครองสุข ครองสุขเขม้นมองเห็นเป็นธีระก็ตกใจเหมือนเห็นผี
       “ธีระ นี่เธอ เธอยังไม่ตายอีกหรือ”
       “ผมคงยังไม่ถึงที่ตาย ก็เลยมีคนช่วยไว้” ธีระเค้นคำพูดออกมา
       ครองสุขยังคิดในแง่ดี “เฮียสมหมายใช่มั้ย พี่ดีใจนะที่เธอไม่เป็นอะไร พี่ขอโทษที่คิดร้ายกับเธอตอนนี้พี่สำนึกผิดแล้ว ยกโทษให้พี่นะธีระ”
       ธีระจ้องหน้า “คนอย่างพี่ สำนึกผิดเป็นด้วยหรือ คนอย่างพี่รักใครเป็นด้วยหรือ ผมจริงใจกับพี่ ยอมเป็นหมารับใช้ แต่พี่กลับคิดฆ่าผม”
       “พี่จะไม่ทำอีกแล้ว พี่สัญญา เราไปอยู่ด้วยกันนะธีระ ตานะจะส่งเงินก้อนใหญ่มาให้พี่ เธอจะมีเงินใช้อย่างสุขสบาย”
       ธีระนิ่งเหมือนจะเชื่อ ครองสุขยิ้มสู้เสือ “เฮียสมหมายส่งเธอมารับฉันใช่มั้ย”
       ธีระยิ้มเยือกเย็น “ใช่ แต่มารับไปลงนรก”
       ธีระชักปืนฟึ่บ
       
       ทางด้านทรรศนะคุยโทรศัพท์อยู่ เสียงสมหมายดังมาจากปลายสาย
       “คนที่เฮียส่งไปรับคุณนายจะไปช้าสัก 20 นาทีนะ พอดีรถมันมีปัญหา”
       ขาดคำยินเสียงปืนดังเปรี้ยง !
       ทรรศนะสะดุ้ง ใจหล่นวูบหันไปมองครองสุข “แม่!”
       ครองสุขยืนตะลึงตาเหลือก เลือดออกจากอกขวา
       นางมารร้ายครางเสียงกระท่อนกระแท่น “ธี ระ”
       ธีระยิ้มเหี้ยมยิงอีกนัดที่อกซ้าย เปรี้ยง!
       ครองสุขยืนตัวแข็ง กัดฟันหันกลับเพื่อเดินหนี ธีระจ่อปืนจะยิงซ้ำอีก เสียงรถหวอดังเข้ามา
       
       ใหญ่ขับรถมาจอดต่อท้ายรถทรรศนะ ตำรวจแซงหน้าขึ้นไปตรงดิ่งไปที่รถธีระ
       ตำรวจเปิดประตูออกมา ธีระยิงสวนใส่ทันที ตำรวจยิงตอบโต้พร้อมกัน โดนธีระหลายนัดตายคาที่
       ครองสุขเจ็บปางตายยังแข็งใจเดินต่อจะมาหาลูก ทรรศนะโผนทะยานวิ่งมาถึง ครองสุขล้ม ทรรศนะรับตัวแม่ไว้ทัน ประคองลงนั่ง
       “แม่ แม่ครับ”
       ทัศนีย์วิ่งมาพร้อมใหญ่ จ้องมองไปยังครองสุข “คุณน้า”
       ทัศนีย์หันมาทางพี่ชายด่าทรรศนะทั้งน้ำตานองหน้า
       “เพราะพี่นั่นแหละ ถ้าพี่นะไม่ช่วยคุณน้าหนี คุณน้าก็คงไม่โดนยิงแบบนี้”
       ทรรศนะครวญคราง “พี่ไม่รู้ พี่ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างงี้ พี่ไม่อยากให้แม่โดนประหารชีวิต แต่พี่ พี่กลับฆ่าแม่ซะเอง”
       ทรรศนะร้องไห้จะขาดใจ ใหญ่เวทนาอาสาจะช่วย “ฉันจะช่วยอุ้มไปที่รถ”
       ครองสุขร้องลั่นไม่ยอม “ไม่ไป มันจะจับฉันไปฆ่า ฉันไม่ไป”
       ทัศนีย์รีบบอก “คุณใหญ่จะช่วยคุณน้า คุณน้าต้องไปโรงพยาบาล”
       ครองสุขสะดุ้งเฮือก รู้ตัวว่าใกล้จะไปชดใช้กรรมแล้ว รีบควานคว้าจับมือทัศนีย์มา
       “จำไว้ แม่ไม่เคยคิดฆ่าแก เรียกแม่ ว่าแม่ สักคำสิลูก”
       ทัศนีย์ใจหายวาบสะอื้นฮักๆ “แม่”
       ครองสุขยิ้ม สิ้นใจตายในอ้อมกอดทรรศนะ สองพี่น้องตะโกนก้อง “แม่!”
       ทรรศนะ ทัศนีย์ร้องไห้ระงม ใหญ่เบือนหน้าหนีหันไปทางอื่น สะกดความรู้สึก
       
       จบฉากชีวิตแสนชั่วที่ทำร้าย ทำลายชีวิตคนอื่นมาอย่างน่าอนาถ

--------------------------------------------------------------------------

 1 เดือนผ่านไป วันนี้หมู่มวลชาวไร่ไพศาลดี๊ด๊าปลื้มปริ่ม ชะเง้อชะแง้ รอคอยการมาถึงของใครบางคน
       
       รถตู้คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอด ถวิล หวาน น้อย และเปี๊ยก รอต้อนรับ ประตูรถเปิด ใหญ่ลงมาก่อนแล้วหันประคองปิ่นอนงค์ตามลงมา ปิ่นอนงค์มีท่าทางแข็งแรงดีแล้ว
       “ขอต้อนรับคุณผู้หญิงกลับบ้านครับ” ถวิลเป็นตัวแทน พูดแทนทุกคน
       ปิ่นอนงค์ยิ้มเต็มยิ้มให้ทุกคน ปิ่นอนงค์รีบไหว้ถวิล
       “เรียกปิ่นเหมือนเดิมเถอะค่ะ ทุกคนด้วยนะคะ ปิ่นขอ”
       น้อยกะหวานประสานสียง “ค่ะคุณผู้หญิง เอ๊ย” สองสาวเหลียวขวับมองหน้ากัน
       ปิ่นอนงค์ยิ้มขำ หันไปไหว้เปี๊ยก “ขอบคุณนะคะพี่เปี๊ยก ที่วันนั้นช่วยส่งปิ่นไปหาหมอได้ทันเวลา”
       เปี๊ยกตกใจรีบบอกว่าอย่าไหว้ “ต้องไหว้ค่ะเพราะพี่เปี๊ยกมีบุญคุณกับปิ่น ลุงหวิน พี่หวานแล้วก็น้อยด้วย ที่เป็นกำลังใจให้ปิ่นจนหายดี”
       ทุกคนยิ้มปลื้มจับไม้จับมือกับปิ่นอนงค์ บรรยากาศชื่นมื่นเหลือแสน
       ยินเสียงปลอดดังแทรกเข้ามา “มากันแล้วหรือ”
       ปิ่นอนงค์มองไปหน้าเรือนใหญ่ เห็นปลอด กับปานเทพยืนรออยู่ ใหญ่รีบประคองพาเมียรักไปหาปลอด
       “ดูสิอาปลอดลงทุนออกมาต้อนรับหลานสะใภ้เลย”
       ใหญ่กระหยิ่ม ปิ่นอนงค์พนมมือไหว้ปลอดอย่างนอบน้อม ปลอดยิ้มแย้ม เข้าใจในตัวปิ่นอนงค์ ปลดทุกพันธนาการที่เคยคาใจข้องใจทิ้งไปจนหมดสิ้น
       “ขอบใจนะปิ่นสำหรับทุกเรื่องที่หนูทำให้คุณใหญ่”
       “โหพ่อ ทีกับปิ่นงี้พูดเพราะเชียว” ปานเทพแซวทำทีเป็นน้อยใจ
       “ ก็คนมันเห่อที่มีหลานสะใภ้ จะขาดก็แต่ลูกสะใภ้นี่แหละสงสัยชาตินี้คงไม่มี”
       ปานเทพจ๋อย มองไปเห็นทัศนีย์กับทรรศนะ หิ้วกระเป๋าออกมาคนละใบ
       ปิ่นอนงค์อึ้ง “คุณนะจะไปไหนคะ”
       ทรรศนะหลบตาปิ่นอนงค์ ไม่กล้าสู้หน้า ทัศนีย์บอกแทน “พี่นะหาบ้านเช่าได้แล้วจ้ะปิ่น”
       ใหญ่ท่าทางเหมือนจะเอาเรื่องเดินไปหาทรรศนะ “ขอคุยด้วยหน่อย”
       ทรรศนะมองหน้าใหญ่เขม็ง
       
       ใหญ่เดินนำทรรศนะมาที่สำนักงานรีสอร์ต แล้วหันกลับมาหา
       “นายจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ถ้านายอยากอยู่”
       ทรรศนะตอบเสียงเฉยชา ละอายใจสิ่งที่แม่เคยทำ
       “ขอบคุณคุณใหญ่แต่ผมคิดว่าไม่ดีกว่า ผมไม่อยากสร้างความอึดอัดใจให้ใคร ผมลาตรงนี้นะครับ”
       ทรรศนะหันหลังเดินไป ใหญ่นิ่งคิดก่อนตัดสินใจพูด คำที่อยากบอกมานาน
       “ฉันขอโทษ” ทรรศนะ ชะงักค่อยๆ หันมา “เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นจากฉัน เริ่มจากความริษยาของเด็กคนหนึ่งที่กลัวจะเสียพ่อไปให้แม่ใหม่ แล้วฉันก็ส่งความเกลียดชังนั้นไปที่นายกับทัศนีย์ด้วย”
       “คุณน้าเองก็ใจร้ายกับคุณใหญ่เหมือนกัน ผมเองรู้ทุกอย่างแต่ก็เข้าข้างแม่” ทรรศนะเสียงเข้ม
       “นายไม่ผิดหรอกที่ทำเพื่อปกป้องแม่ คนที่ควรจะละอายใจคือฉัน ไม่ใช่นาย”
       ใหญ่ยื่นมือให้ทรรศนะ “เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ ฉันต้องการนายกับทัศนีย์มาช่วยกันดูแลไร่ไพศาล”
       ทรรศนะยิ้มยอมจับมือกับใหญ่ “วันหนึ่งผมคงได้มีโอกาสกลับมาช่วยงานคุณใหญ่ แต่ขอให้ผมได้ไปทำตามความฝันของผมก่อน”
       ทรรศนะกับใหญ่จับมือกันหนักแน่น สองหนุ่มยิ้มให้กัน ใหญ่มองไปเห็นปิ่นอนงค์ยืนดูอยู่ และมองมา ทรรศนะหันไปมองตาม
       
       ปิ่นอนงค์นั่งใต้ต้นปีบ ทรรศนะเก็บดอกปีบเป็นช่อส่งให้
       “คุณนะจะเอามาล้อปิ่นหรือ”
       “ไม่ใช่จ้ะ พี่อยากขอไถ่โทษ ปิ่นเกือบตายเพราะแม่พี่”
       ปิ่นอนงค์รับมาถือไว้ ทรรศนะนั่งลงข้างๆ ปิ่นอนงค์มองดอกปีบในมือ
       “ปิ่นเคยได้ยินว่า” ปิ่นอนงค์ยกดมดอม “กลิ่นหอมของดอกปีบเปรียบเสมือนคุณงามความดีที่ฟุ้งกระจายให้คนทั่วไปได้ชื่นชม” มองหน้านะ “คุณนะเป็นคนมอบสีขาวอันบริสุทธิ์นี้ให้กับปิ่น”
       ปิ่นอนงค์ดึงมือทรรศนะมาช้าๆ แล้ววางดอกปีบให้ “วันนี้ปิ่นจะขอมอบให้คุณนะบ้าง”
       ทรรศนะยิ้มให้ปิ่น “พี่จะกลับไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในทางที่ควรทำ ขอบใจนะปิ่น
       สองคนยิ้มให้กันด้วยมิตรภาพที่บริสุทธิ์ ราวกับต้นไม้แสนรักของปิ่นอนงค์จะรับรู้ดอกปีบบนต้นพากันร่วงปลิวลงมา กลิ่นหอมกระจายไปทั่วบริเวณ
       
       ทัศนีย์มองมาอย่างสงสัย สีหน้าหงุดหงิดอยู่ในที
       “มีอะไรจะพูด ก็พูดมาสักทีสิ อื้ออ้าๆ อยู่นั่นแหละ”
       ปานเทพพยายามระงับสติคุมอารมณ์ เอ่ยออกไป “พูดได้แค่ครั้งเดียวนะ” เอียงหน้าไปพูดเบา “ฉันชอบเธอ
       ทัศนีตาโต เขินจัด โวยวาย “เรื่องแบบนี้อย่ามาแกล้งหลอกกันนะ”
       ปานเทพอาย โวยวายกลับ “ไม่เชื่อก็ดีแล้ว เพราะว่าฉันพูดเล่น”
       ทัศนีย์โกรธเพราะเริ่มชอบปานเทพ หนุ่มดำ ล่ำเตี้ยที่เคยด่านิดๆ เงื้อมือตบ “เฮ้ย อย่านะ”
       ปานเทพหลบวูบ ทัศนีย์ถลาหัวจะทิ่ม ปานเทพเข้าไปจับเอวไว้ทัน ทัศนีย์ตกใจโดนกอดเอว
       ปานเทพรีบพูดรัวเร็ว “เรามาคบกันเป็นแฟนมั้ย เอาแบบจริงจังเลย”
       ทัศนีย์ช็อก หันกลับมา แล้วถอตัวถอยห่างออกจากปานเทพ “เธอจะปฏิเสธก็ได้ ฉันเข้าใจ ฉันมันไม่หล่อเหมือนไอ้ใหญ่”
       ทัศนีย์รีบพูด “ไม่ใช่นะ คนที่ดีไม่พอคือฉันต่างหาก ฉันเคยมีแฟนหลายคน”
       “ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนหัวสมัยใหม่”
       “ฉันทำกับข้าวไม่เป็น”
       “ฉันทำเก่ง ฉันทำให้เองก็ได้”
       “แต่ฉันซักผ้า ถูบ้าน กวาดบ้าน ล้างจานไม่เป็นเลยสักอย่าง”
       แต่ละอย่างที่ทัศนีย์พ่นออกมาทำเอาปานเทพแป่ว ทัศนีย์ใจเสีย ปานเทพยิ้มแหยๆ
       “ของแบบนี้สอนกันได้”
       “แล้วอาปลอดจะยอมหรือ อาปลอดเกลียดแม่ฉันยังกะไส้เดือนกิ้งกือ”
       ปานเครียดขึ้นมาทันที
       อีกมุมในไร่ห่างออกไปหน่อย จินตนายืนทอดสายตามองมายั้งสองคน สีหน้าเศร้าสร้อย ปิ่นอนงค์เดินมาแตะบ่า จินตนาหันไปมองเห็นเป็นปิ่นอนงค์
       
       จินตนายังยืนซึมอยู่อย่างนั้น ปิ่นอนงค์เข้ามายืนตรงหน้า “จินชอบคุณปานหรือ”
       จินตนานิ่งพูดไม่ออกก้มหน้ากลั้นน้ำตา ปิ่นอนงค์เข้าใจทันทีกอดจินตนาไว้
       “สิ่งที่ปิ่นเห็น ขอให้เก็บมันไว้เป็นความลับระหว่างเรานะ”
       ปิ่นอนงค์ดันตัวออกมา พยักหน้าให้ จินตนาพูดน้ำเสียงเข้มแข็ง
       “ที่เรามาเนี่ยจะมาบอกว่าเราได้เลื่อนตำแหน่งแต่ต้องย้ายไปประจำปศุสัตว์ที่จังหวัดอื่น” 
       “เราดีใจด้วยนะ” ปิ่นอนงค์จ๋อยๆ “งั้นเราก็ต้องอยู่ห่างกันน่ะสิ” คราวนี้น้ำตาไหล
       จินตนารีบปลอบ “ไม่ไกลกันมากหรอกน่า แล้วเราจะมาเยี่ยมหลานบ่อยๆ”
       จินตนาก้มไปคุยกับท้องปิ่นอนงค์ “เจ้าตัวน้อย ห้ามลืมน้าจินนะ”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มทั้งน้ำตา ถวิลวิ่งเข้ามา หน้าตาตื่น “หนูปิ่น ไอ้จอมมันไปแล้ว”
       ปิ่นอนงค์ตะลึง “ไปไหนคะลุงหวิน”
       “ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่ยอมบอก แต่มันฝากจดหมายไว้ให้หนูปิ่น”
       ถวิลส่งให้แล้วเดินก้มๆไป ปิ่นอนงค์รับมาคลี่จดหมายออกอ่าน
       
       จอมนั่งอยู่บนรถทัวร์แล้วขณะที่ปิ่นอนงค์กำลังอ่านจดหมายอยู่
       “เราจะไม่มีวันลืมวันเวลาของเราสองคน รอยยิ้มของปิ่นมันจะยิ้มอยู่ในใจเรา ในทุกวันเวลาที่เรายังหายใจ”
       จอมนึกถึงอดีตตอนที่ปิ่นอนงค์กับตัวเองปาฟางใส่กันน่ารักๆ ตอนเรียนอยู่ม.ปลาย
       ปิ่นอนงค์อ่านต่อ “ขอให้ปิ่นกับคุณใหญ่มีความสุข เราขออนุญาตพูดคำนี้นะปิ่น ถึงแม้รู้ว่าเราคงไม่มีสิทธิ์พูด เรารักปิ่น”
       ในรถทัวร์คันนั้น จอมยิ้มบางๆ มองออกไปยังท้องทุ่งกว้างเบื้องหน้า แววตามั่งมั่นตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
       
       ปิ่นอนงค์เอาจดหมายแนบอกร้องไห้ออกมาสงสารจอมนัก จินตนาเอ่ยขึ้น
       “บางทีการจากไปก็อาจทำให้จอมมีความสุขขึ้น”
       สองสาวกอดกันส่งถ่ายความรักความหวังดีให้กันและกัน
       
       รุ่งเช้าวันต่อมา ใหญ่ตื่นแล้วแต่ยังแกล้งตาหลับ พลิกตัวหมายจะกอดปิ่น แต่ข้างตัวว่างเปล่าปิ่นอนงค์หายไป
       ใหญ่ลืมตา งัวเงีย ลุกนั่งเปลือยอก
       “ปิ่น อยู่ในห้องน้ำหรือ บอกแล้วไง ถ้าฉันยังไม่ตื่น ห้ามลุกจากเตียง เกิดหกล้มไปจะทำไง”
       เงียบกริบไม่มีเสียงตอบรับ ใหญ่ยิ่งสงสัย
       ใหญ่ผลักประตูออกมา ตะโกนเสียงดัง “ปิ่นอนงค์”
       น้อยยืนรออยู่แล้วหน้าห้อง “พี่ปิ่นไปกรุงเทพฯ กับคุณนะแล้วค่ะ”
       ใหญ่อึ้ง “ฮ๊า”
       
       ที่บ้านสวนเมืองนนท์วันเดียวกัน ปรางทิพย์พยายามปิดประตูหน้าบ้าน ทรรศนะง้างไว้ คุณหญิงตกยากยังไม่เห็นปิ่นอนงค์
       “ขอให้ผมได้คุยกับอรสักแป๊บนะครับ แป๊บเดียว”
       “เธอกลับไปซะ อย่ามาฟื้นฝอยหาตะเข็บให้มีเรื่องอีก”
       จังหวะนั้นปิ่นอนงค์เดินเข้ามายืนข้างๆ ทรรศนะ “คุณป้าคะ ปิ่นเอง”
       ปรางทิพย์ชะงัก ปล่อยมือจากประตู
       ทรรศนะ และปิ่นอนงค์เดินเข้ามา ปิ่นอนงค์ไหว้นอบน้อม “ปิ่นแวะมากราบ”
       “สำหรับหนู แม่ยินดีต้อนรับ แต่กับเธอ ขอร้องเถอะนะ”
       ปรางค์ทิพย์มองมา ทรรศนะจ๋อย
       
       จังหวะต่อมาอุทัยพ่อของอรสอางค์ออกมาจากบ้านตะโกนด่า “ไอ้คนไม่มีความรับผิดชอบ”
       อุทัยพุ่งทะยานตรงเข้ามาชกทรรศนะจนหน้าหงายไป ปรางทิพย์กับปิ่นอนงค์ช่วยกันห้าม
       “คุณนะอยากมากราบขอโทษท่าน” ปิ่นอนงค์บอก
       อุทัยไม่สนชี้หน้าด่า “มันสายเกินไปแล้ว แกทำให้อรแท้งลูก ทำให้หลานฉันตาย”
       อรสอางค์วิ่งออกมาห้ามพ่อ “ไม่ต้องพูดถึงอีกแล้วค่ะคุณพ่อ”
       
       ทรรศนะกับปิ่นอนงค์ตะลึง ไม่เคยรู้เรื่องนี้ อรสอางค์มองทรรศนะด้วยสายตาเจ็บปวด 

--------------------------------------------------------------------

อรสอางค์ยืนหน้านิ่งท่าทีเฉยชาอยู่ที่ในสวน มองไปเห็นศาลาอยู่ไม่ไกลนัก ทรรศนะเอื้อมมือมาจับแขน
       
       “ให้โอกาสผมได้แก้ตัวสักครั้งนะอร”
       อรสอางค์มองจ้อง ย้อนถาม “เพราะต้องการรับผิดชอบเรื่องลูกหรือคะ”
       “ไม่ใช่นะ ก่อนที่จะรู้เรื่องลูก ผมตั้งใจจะมาขอคืนดีกับอร”
       “เพื่ออะไรคะ ในเมื่อนะไม่ได้รักอร” อรสอางค์ขึ้นเสียง
       “ผมรักอรได้ ผมรู้ว่าผมทำได้ แค่อรยอมให้อภัยผม”
       อรสอางค์ยิ้ม สวมกอดทรรศนะเหมือนจะคืนดี แต่แล้วชั่วอึดใจอรสอางค์กลับดันตัวเองออกมองจ้องหน้าทรรศนะ
       “นะแค่อยากแก้ไขสิ่งผิดพลาด ให้มันถูกต้อง แต่นั่นมันไม่ใช่ ความรัก และที่สำคัญ อรไม่คิดจะเดินย้อนกลับไปทางเก่า”
       อรสอางค์ยิ้มให้ จะเดินไป ทรรศนะใจหล่นวูบ สีหน้าเศร้ารู้ว่าหมดหวังแน่แล้ว อรสอางค์หันกลับมาหา “ถ้ามากรุงเทพฯอีก ก็แวะมาเที่ยวที่เมืองนนท์ได้นะคะ”
       ทรรศนะยิ้มเศร้าพยักหน้ารับคำ อรสอางค์เดินกลับไปหาปิ่นอนงค์ที่นั่งรออยู่ในศาลา
       “ปิ่นตั้งใจมาขอบคุณเรื่องที่คุณอรช่วยชีวิตปิ่นไว้”
       “ปิ่นก็โทร.มาขอบคุณไปแล้วนี่” 
       “มันไม่เหมือนกับมาบอกเองค่ะ”
       อรสอางค์จับมือปิ่นอนงค์ยิ้มให้ “งั้นเราก็หายกันแล้วนะ”
       “แล้วคุณนะละคะ คุณอรจะไม่ให้โอกาสคุณนะแก้ตัวเลยเหรอคะ”
       “ปิ่น ฉันให้โอกาสนะเสมอ แต่ฉันก็อยากให้โอกาสตัวเองด้วย ที่แล้วมาฉันไม่ให้เวลาตัวเองแม้แต่จะหยุดคิด ทำให้ฉันเกือบจะเสียทุกๆอย่าง ฉันอยากจะเริ่มใหม่อย่างคนที่มีสติจริงๆ”
       อรสอางค์ยิ้มอย่างเด็ดเดี่ยว
       
       ปิ่นอนงค์เดินมาส่งทรรศนะที่รถ ตรงบริเวณหน้าบ้าน ทรรศนะหันมา หา ปิ่อนงค์ปลอบ
       “อย่าทำหน้าหมดหวังอย่างนั้นสิคะ ปิ่นมีคาถาให้ยืมไปใช้รับรองได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์”
       “คาถาอะไรหรือปิ่น”
       “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก เป็นคาถาของคุณใหญ่ค่ะ”
       ทรรศนะยิ้มออกมา มองไปทางบ้านอรสอางค์อย่างหมายมาด และมุ่งมั่น
       
       ทัศนีย์ยกขนมลา เดินเข้ามาพร้อมปานเทพ ตรงมาที่โต๊ะอาหาร
       ปลอดนั่งที่หัวโต๊ะอ่านนสพ. ปานเทพพยักหน้าให้ทัศนีย์
       ทัศนีย์เดินไปหาปลอดวางขนม อาการเกร็งๆ ปลอดมอง “คนงานที่เป็นคนใต้ช่วยสอนให้นีทำค่ะ อาปลอดช่วยลองชิมสักนิดได้มั้ยคะ นีจะได้รู้ว่ามันพอใช้ได้มั้ย”
       ปลอดมองหน้าปานเทพ แล้วหยิบใส่ปาก “อืม...” ทัศนีย์ลุ้นยิ่งกว่าใคร “ก็อร่อยใช้ได้”
       ทัศนีย์ดีใจ ปานเทพรีบกระซิบพ่อ “หมายความว่าพ่ออนุญาตให้เราคบกันแล้วใช่มั้ย”
       ปลอดเสียงดังตั้งใจพูดให้ทัศนีย์ได้ยิน “แกไม่ใช่ลูกแหง่แล้ว จะคบจะชอบใครก็ตัดสินใจเอาเอง”
       ปลอดลุกยืน “อีกสองวันเราจะกลับเหมือง ไปเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าได้แล้ว”
       พูดจบปลอดเดินไป ปานเทพดีใจเข้าไปกอดทัศนีย์
       ขณะเดินไปปลอดแอบมองยิ้มมีความสุขพูดลอยๆ ว่า “เพ็ญมองดูอยู่หรือเปล่า ไอ้ปานมันมีแฟนแล้วนะ”
       
       วันนั้นที่ฟาร์มวัวเล็กๆ จินตนาจอดรถ แล้วลงมา มือถือกล่องอุปกรณ์มองหาคน ใครคนหนึ่งหันหลังให้จินตนานั่งก้มหน้าก้มตาดูลูกวัวที่กำลังป่วย
       จินตนาเดินเข้าไปถาม “คุณโทรไปขอความช่วยเหลือกับทางปศุสัตว์ใช่มั้ยคะ”
       จอมเงยหน้าขึ้นมามอง ต่างคนต่างตกใจ “จอม! มาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย”
       จอมรีบลุกยืนดีใจออกนอกหน้า “นี่ฟาร์มเราเอง พ่อยกเงินเก็บให้เราหมด เราก็เลยมาทำฟาร์มเล็กๆ อยู่ที่นี่”
       จินตนายิ้มกว้าง “โลกมันโคตรกลมเลย เราเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน เออจริงสิลูกวัวเป็นอะไรหรือ”
       จอมเพิ่งนึกได้ “มันไม่ยอมกินนม มีอาการเกร็งๆ”
       สองคนรีบดูลูกวัว “สงสัยจะมีไข้สูง ต้องลองวัดไข้ดู”
       จังหวะที่ช่วยกันจับลูกวัว มือจอมไปจับถูกมือจินตนา ออกอาการ อึ้งๆ เขินๆ กันทั้งคู่
       ทั้งคู่ทำงานช่วยกันอย่างเข้าขา เห็นชัดว่ามีแนวโน้มน่าคนอกหักสองคนนี้จะหันมารักกัน
       
       ใหญ่กดโทร.หาปิ่นอนงค์ระวิง แต่ปิ่นอนงค์ไม่ได้รับสาย ใหญ่ประสาทกิน
       “ทำไมโทรไม่ติดวะ ทำอะไรกันนักหนาไม่ติดต่อกลับมา”
       ปานเทพเข้ามาถาม “โวยวายอะไรวะไอ้คุณใหญ่”
       “ปิ่นอนงค์น่ะสิ ไปกับทรรศนะสองวันแล้วยังไม่กลับเลยแกดูสิ ตะลอนๆ ไปทั่วไม่ได้ห่วงตัวเองเล้ย”
       “ทำไมไม่ไปตามเล่า เขาก็บอกแล้วว่าไปขอบคุณคุณอร เรื่องให้เลือดไม่ใช่หรือ”
       ใหญ่วางฟอร์ม “เขายังไม่ห่วงฉันเลย เรื่องไรจะไปตาม”
       ปานเทพพยักหน้าเห็นด้วย “นี่ไอ้คุณใหญ่ฉันยอมรับเลยว่ะ เมียแกเนี่ยจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้านไปทั่วราชอาณาจักรจริงๆ”
       ใหญ่โมโหหันมาด่าปานเทพ “เฮ้ยๆ พูดอย่างนี้กับพี่สะใภ้ได้ไงเดี๋ยวก็โดนเตะหรอก”
       ปานเทพรีบกระโดดโหยง ถอยห่าง หันมาชี้หน้าใหญ่ “ก็ลองดูสิโว้ย ฉันจะฟ้องพ่อ”
       ทัศนีย์ยกลาบหมูมาพอดี “มาแล้วค้า ช่วยชิมกันหน่อยนะคะ ลาบหมูฝีมือนีเอง”
       น้อยยิ้มแป้นอยู่ข้างๆ “ส่วนน้อยเป็นลูกมือ”
       “เรื่องลาบหมู ลาบเลือด ปลาร้า แจ่วบอง ฉันถนัด มาชิมให้”
       ใหญ่ตัก พอยกช้อนขึ้นมาถึงปาก เหม็นมาก วิ่งไปอาเจียนที่ระเบียง
       “มันเหม็นเน่าหรือคะคุณใหญ่”
       ปานเทพเอามาดมดู “ก็หอมดีนี่”
       ใหญ่จะหันมาพูดก็พะอืดพะอมอีก น้อยนึกได้ “หรือคุณใหญ่จะแพ้ท้องแทนเมีย”
       ปานเทพหัวเราะชอบใจ “ฮ่าๆๆ เฮ้ยถ้าจริงก็เสียชื่อเสือนะโว้ย”
       ใหญ่จะเข้าไปลุยปานเทพ แต่ดันหน้ามืดเวียนหัวจะเป็นลม
       ปานเทพกับทัศนีย์ต้องรี่เข้าไปประคองไว้
       
       สองคนประสานเสียง “ไอ้คุณใหญ่” / “คุณใหญ่”

---------------------------------------------------------------

 เวลาต่อมาใหญ่นั่งพิงหัวเตียงสภาพหมดแรง สารรูปดูไม่จืด ชนิดที่ใครเห็นก็ต้องฮากลิ้ง
       
       มีน้อยคอยถือกระโถนยืนข้างเตียงคอยเตรียมพร้อม ปานเทพนั่งอยู่ปลายเตียง
       ทัศนีย์นั่งข้างๆ ให้ใหญ่ดมยาดม ใหญ่ไม่ทันใจดึงมาดมเอง สูดปื๊ดๆ เข้าจมูกแรงทั้งซ้ายทั้งขวา
       “ฉันว่าพาไปให้หมอตรวจสักหน่อยดีมั้ยวะ เล่นอ้วกแตกอ้วกแตนขนาดนี้ มันน่าห่วง”
       ใหญ่พูดแทบไม่มีแรง “ไม่เอาโว้ยอายหมอตายชัก น้อย ไปสอยมะม่วงเปรี้ยวๆ หรือพวกมะขามเปียกมาให้ที”
       “แบบนี้ยิ่งชัดเลย มิน่าพี่ปิ่นถึงได้แข็งแรง ไม่มีอาการแพ้ท้องเลยสักกะติ๊ด ที่แท้คุณใหญ่แพ้แทนนี่เอง” น้อยว่า
       ใหญ่งอน น้อยใจขึ้นมาตามนิสัยคนแพ้ท้อง “ใช่ แต่เมียกลับทิ้งไปไม่ดูดำดูดีเลย มันน่าน้อยใจนัก”
       ใหญ่คิดๆ พูดเบาๆ “ทำตัวแบบนี้ต้องสั่งสอนซะบ้าง” ใหญ่พะอืดพะอมอีก ร้องลั่น “กระโถนๆ”
       น้อยรีบวิ่งมาหา ใหญ่โอ้กอ้าก ทุกคนขำกลิ้งฮาๆ กับท่าแพ้ทองของเสือใหญ่
       
       วันต่อมาปิ่นอนงค์เดินเข้าบ้านมา น้อยกับหวาน รีบเข้าไปหาช่วยถือของ
       “ทำไมเงียบจัง ไปไหนกันหมด”
       “กลับไปเหมืองกันหมดแล้ว” หวานบอก
       “แล้วคุณใหญ่ล่ะ อยู่ที่ไร่หรือ”
       “คุณใหญ่ก็ไปเหมืองด้วย ฝากจดหมายไว้ให้พี่ปิ่น”
       น้อยส่งให้ ปิ่นอนงค์รับมาอ่าน
       “ฉันจะทำพินัยกรรมยกไร่ไพศาลให้กับเธอและลูก ส่วนตัวฉันจะปักหลักอยู่ที่เหมือง เธอจะได้กลับไปคืนดีกับทรรศนะ โดยไม่มีฉันเป็นก้างขวางคอ ...ใหญ่ ชาลิต”
       ปิ่นอนงค์หมั่นไส้ขยำจดหมายคามือ รู้ไส้ใหญ่ทุกขด
       “อยากงอนก็งอนไป จ้างให้ก็ไม่ง้อหรอก จะเป็นพ่อคนอยู่แล้วยังทำตัวไม่มีเหตุผล”
       หวานพลอยพยัก “ปิ่นพูดถูก เมียไม่ใช่ทาส ปิ่นต้องข่มไว้ก่อนอย่าให้หือ”
       “แต่คุณใหญ่กำลังอารมณ์แปรปรวนนะพี่ปิ่น” น้อยว่า
       ปิ่นอนงค์ดุ “เดี๋ยวนี้หันไปเข้าข้างคุณใหญ่แล้วหรือน้อย”
       ปิ่นอนงค์เดินไปเลย หวานมองหน้าน้อยเชิงถาม
       
       ใหญ่อยู่เหมืองก็ใช่จะเป็นสุข เอาแต่รอร้อรอ เฝ้าโทรศัพท์ตลอดเวลา ปิ่นอนงค์ไม่โทร.มาเลย
       “ทำไมยังไม่โทร.มาอีก อีก 5 นาทีโทร.มาแน่”
       คู่รักข้าวใหม่ปานเทพกับทัศนีย์ยืนมอง ปานเทพส่ายหน้าระอาใจ
       “แกไม่ทำเกินไปหน่อยหรือวะ เมียกำลังท้องกำลังไส้ทิ้งมาได้ยังไง”
       “ฉันกะจะอยู่แค่วันสองวันเอง เดี๋ยวพอปิ่นโทร.มาง้อ ฉันก็จะรีบกลับทันที” ใหญ่คุย
       “แล้วถ้าปิ่นไม่ง้อละ” ทัศนีย์ถาม
       เสียงโทรศัพท์ดัง ใหญ่ยิ้มกริ่ม
       “เห็นมั้ย โทรมาแล้ว ดูไว้นะไอ้ปานเป็นผู้ชายมันต้องข่มเมียไว้อย่าให้หือ”
       ทัศนีย์เบ้หน้า ใหญ่รับสายเสียงดุกลับไป “บอกแล้วไงว่าฉันไม่กลับ อ้าว เออ น้อยหรือ”
       ใหญ่มองปานเทพ หน้าแตก “ว่าไงน้อย คุณผู้หญิงอ่านจดหมายแล้วร้องไห้เลยล่ะสิ” เสียงดัง “อะไรนะ ปิ่นจะแต่งงานกับไอ้นะ ได้ไงฉันยังอยู่ทั้งคน”
       ใหญ่วางสาย ทัศนีย์รีบขู่ “นีว่าปิ่นเอาจริงนะคะ เพราะพี่นะบอกนีว่าคุณอรไม่ยอมคืนดีด้วย ตอนนี้พี่นะได้งานในบริษัททัวร์แล้วด้วย”
       ปานเทพช่วยขู่แกล้งใหญ่ “แสดงว่านายนะต้องรีบสร้างตัวเพื่อมาขอปิ่นแต่งงานแน่ๆ มีแววมาก”
       ใหญ่เหวอ
       
       เย็นนั้นปิ่นอนงค์เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องพักเก่าที่เรือนคนงาน เพราะคิดถึงใหญ่ มองไปที่หน้าต่างที่เปิดอยู่ ลงไปนั่งที่เตียง ลูบหมอนของใหญ่
       ปิ่นอนงค์ยิ้มนึกถึงภาพอดีต
       โดยเฉพาะตอนใหญ่สวมมาดเสือใหญ่นอนกอดปิ่นอนงค์เหมือนหมอนข้าง
       
       ปิ่นอนงค์เผลอหลับนอนตะแคง ใหญ่ปีนหน้าต่างเข้ามา เข้าไปกอดรัดปิ่นอนงค์จากด้านหลังด้วยความคิดถึง
       ปิ่นอนงค์ตกใจตื่นร้องโวยวายไม่เห็นหน้าใหญ่ “ปล่อย ช่วยด้วย ผู้ร้าย อย่า”
       ปิ่นอนงค์พลิกตัวกลับมาเห็นหน้าใหญ่อยู่ตรงหน้า
       “ห้องนอนบนเรือนใหญ่มันกว้างเกินไป หรือว่าอยากมานอนคิดถึงความหลังครั้งเรามีเราจ๊ะ”
       ปิ่นอนงค์ลุกนั่งผลักใหญ่ออก “คุณใหญ่กลับมาทำไมคะ ไปแล้วก็น่าจะไปเลย”
       “ที่นี่มันไร่ฉัน”
       “คุณใหญ่ยกให้ปิ่นแล้ว”
       “ไหนล่ะพินัยกรรม”
       ใหญ่แบมือขอดู ปิ่นอนงค์โกรธจริงจัง “งั้นปิ่นไปเองก็ได้”
       ใหญ่รีบกอดไว้อ้อล้อเมียรัก “ฉันผิดไปแล้ว ตั้งใจจะกลับมาขอโทษ”
       “ไหนว่าจะให้ปิ่นไปแต่งงานกับคุณนะไง” ปิ่นอนงค์ประชด
       “ฉันอยากแกล้งเธอ ใครจะยอมยกเมียที่น่ารักขนาดนี้ให้คนอื่นได้ ก็เธอเอาแต่สนใจไอ้นะ ทิ้งฉันอยู่คนเดียว”
       “ปิ่นไม่ได้อยู่กับคุณนะ ครอบครัวคุณอรขอให้ปิ่นอยู่ค้างด้วยปิ่นพยายามโทร.หาคุณใหญ่ แต่ที่สวนสัญญาณมันไม่ดี”
       ใหญ่เสียงอ่อย “จะไปรู้หรือ คนมันหึงนี่ งั้นดีกันนะ”
       ใหญ่ชูนิ้วก้อยยิ้มร่า ปิ่นอนงค์ดันใหญ่ออก ลุกยืน “ไม่ค่ะ ปิ่นจะหาพ่อดีๆ ให้ลูก ปิ่นไม่อยากให้ลูกมีพ่อเป็นเสือ”
       พลางปิ่นอนงค์เดินหนี “ก็ลองดูสิ เธอเลือกคนไหน ฉันฆ่าคนนั้น”
       
       ปิ่นอนงค์เดินหนีมานอกระเบียง ใหญ่รีบตาม พอโผล่ออกมา เจอหมู่มวลทุกคนยืนฟังกันสลอนอยู่ตรงลานกว้างหน้าเรือน ใหญ่เหวอ ทุกคนหัวเราะชอบใจ
       “เฮ้ย มารวมกันอยู่ที่นี่หมดเลยหรือ”
       ปานเทพแซวพูดเลียนแบบใหญ่กับทัศนีย์
       “ห้องนอนบนเรือนใหญ่มันกว้างเกินไป หรือว่าอยากมานอนคิดถึงความหลังครั้งเรามีเราจ๊ะ”
       ทัศนีย์ก็เลียนแบบปิ่นอนงค์เป๊ะๆ “คุณใหญ่กลับมาทำไมคะ ไปแล้วก็น่าจะไปเลย”
       ทุกคนฮา ใหญ่อายชี้หน้าปิ่นอนงค์ฮึดฮัด “ปิ่นอนงค์ ฝีมือเธอหรือ”
       “ปิ่นต้องให้ทุกคนมาเป็นสักขีพยานค่ะว่าคุณใหญ่จะไม่เอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่อีก”
       “อ๋อ ได้สิมีพยานเยอะๆอย่างนี้ชอบ”
       ใหญ่จัดให้ดึงปิ่นอนงค์มาจูบต่อหน้าทุกคน ปิ่นอนงค์ตาโตอายมาก แต่จู่ๆ ใหญ่กลับผลักปิ่นอนงค์ออก
       ท่าทางพะอืดพะอมอาเจียนโอ้กอ้าก
       “คุณใหญ่เป็นอะไรคะ ไม่สบายหรือ” ปิ่นอนงค์งง
       ใหญ่โวยวาย “ฉันแพ้ท้องแทนเธอน่ะสิถามได้”
       
       ทุกคนหัวเราะกันยกใหญ่ ใหญ่โอ้กอ้ากอีก ปิ่นอนงค์ลูบหลังด้วยความสงสารใหญ่
       
       เวลาผ่านไป...พร้อมกับความสุขสงบที่คลุมครอบไปทั่วไร่ไพศาล
       อยู่มาวันหนึ่ง หวานทะเล่อทะล่าวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ในขณะที่ปิ่นอนงค์นั่งทำบัญชีกดเครื่องคิดเลขอยู่โถงเรือนใหญ่
       หวานลิ้นห้อย หอบแฮ่กๆ “ปิ่น น้อยแย่แล้ว”
       ปิ่นอนงค์ตกใจ
       
       ในไร่เวลานั้น โตโต้เด็กชายวัย 6 ขวบ ของใหญ่กับปิ่นอนงค์ หน้าตาน่ารักน่าชังใส่วิกผมหยักศกทรงเดียวกับเสือใหญ่เด๊ะๆ เหมือนกันเปี๊ยบ แถมใส่ชุดแบบเดียวกับใหญ่ตอนเป็นโจรอีกต่างหาก ส่วนไอ้จ้อยลูกชายหวานกะเปี๊ยกแต่งชุดคาวบอยยืนประกบเป็นลูกน้องคู่หู
       ใกล้ๆ นั้นน้อยโดนมัดติดเสาอยู่
       “ปล่อยน้อยไปเถอะ เสือโต อย่าทำอะไรน้อยเลย”
       โตโต้ หรือเสือโตเล็งปืนฉีดน้ำ เป็นปืนสั้นสีแปร๋น ไปที่น้อย พูดจากวนๆ
       “ปล่อยก็ได้ แต่ต้องเอาขนมมาแลกก่อน”
       ไอ้จ้อยผสมโรง “ใช่ เสือโตพูดถูก”
       “จะปล่อยน้อยจริงๆ นะคะ”
       “คนอย่างเสือโต ใจถึง พึ่งได้ จริงจัง จริงใจ คำไหนคำนั้น แต่ถ้าไม่ให้ขนมละก็...” โตโต้ยิงปืนฉีดน้ำใส่หน้าน้อย
       น้อยร้องจ๊าก “โอ๊ยๆๆ อย่ากลัวแล้ว”
       ปิ่นอนงค์กับหวานวิ่งเข้ามา “โตโต้”
       โตโต้กับไอ้จ้อย กลัวหัวหด โตโต้รีบโยนปืนทิ้ง “แม่ปิ่น”
       ไอ้จ้อยเดินไปหาหวาน หวานชี้หน้าดุ “ซนนักนะ ไอ้จ้อย”
       “ก็ไอ้คุณโตชวนนี่แม่”
       หวานจิกจ้อยดึงออกไปยืนอีกมุม “มานี่เลย ไอ้ลูกสมุน”
       ปิ่นอนงค์มองปืนฉีดน้ำข้างๆ โตโต้ เปิดฉากอบรมลูกชายวัยซน
       “แม่บอกกี่ครั้งแล้วห้ามเล่นเป็นเสือ เป็นโจร คนพวกนี้เป็นคนไม่ดีนะลูก แล้วนี่ใครเอาของเล่นพวกนี้ให้โตโต้ ปิ่นก็เก็บไปทิ้งหมดแล้วนี่นา”
       ปิ่นอนงค์มองหน้าน้อย น้อยโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ไม่ใช่น้อยนะคะ น้อยถูกบังคับให้เป็นตัวประกันอ่ะ”
       โตโต้สารภาพมาดแมนๆ “พ่อใหญ่ซื้อให้ครับ”
       ปิ่นอนงค์ควันออกหู โกรธขึ้นมาทันที
       เปี๊ยกแอบหลบมุมดูอยู่ท่าทางตกใจ
       “แล้วใครสอนให้เล่นแบบนี้”
       โตโต้บอกอีก “พ่อใหญ่ครับ”
       เปี๊ยกรีบวิ่งจู๊ดไปส่งข่าวนายใหญ่
       “แม่ต้องไปจัดการหัวหน้าแก๊งก่อน แล้วจะกลับมาทำโทษลูกสมุน” ปิ่นอนงค์หันมาบอกน้อย “พาโตโต้กลับเรือนไปก่อนนะ”
       พอปิ่นอนงค์ไปหาใหญ่แล้ว โตโต้รีบหยิบปืนเล็งใส่น้อยอีก
       “หยุด อย่าขยับ”
       น้อยยกมือลนลานทำเป็นกลัว “อย่ายิงนะคะ นี่คะ”
       โตโต้สวมมาดเสือโตลูกเสือใหญ่สั่ง “ไปเอาขนมมาเดี๋ยวนี้”
       
       เวลาเดียวกันใหญ่ยืนกอดอกชี้สั่งคนงานนับสิบเกี่ยวฟางอยู่ที่คอกวัว ถวิลยืนกำกับอยู่ข้างๆ
       เปี๊ยกวิ่งร้อนรนเข้ามาบอกใหญ่ว่าตายแน่ ปิ่นอนงค์มา
       ถวิลงุนงง “อะไรของเอ็งวะ”
       แต่ใหญ่ฟังเข้าใจ รีบดึงสามง่ามมาจากมือคนงาน เอามาเกี่ยวฟางก้มหน้าก้มตาทำเป็นขยันขันแข็ง
       เปี๊ยกก็ง่วนทำอย่างอื่น
       “คุณใหญ่จะทำเองทำไมล่ะครับ” ถวิลงงหนัก
       ใหญ่จุ๊ปากให้เงียบ ถวิลมองไป เห็นปิ่นอนงค์เดินหน้ามุ่ยตรงมา หน้าตาเอาเรื่อง
       ปิ่นอนงค์มาถึงมองจ้องใหญ่คนเดียว
       “ทุกคนหยุดทำงานชั่วคราว ปิ่นอนุญาตให้ไปพักก่อน”
       ถวิลพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ทุกคนสลายโต๋ ทุกคนอมยิ้มรู้ว่าใหญ่โดนแน่ พากันเผ่นไปจนหมด
       
       ปิ่นอนงค์ยืนเท้าสะเอวทำท่าเอาเรื่อง “คุณใหญ่”
       ใหญ่หันมาแกล้งทักกวนตามประสา “อ้าว มาทำอะไรแถวนี้จ๊ะเมียจ๋า”
       “ขยันจังนะคะ” ปิ่นอนงค์เหน็บ
       “ใช่ ถึงเราจะเป็นเจ้าของ เราก็ต้องทำได้ทุกอย่าง จะได้เป็นแบบอย่างที่ดีของลูกน้องทุกคน”
       “แต่เป็นแบบอย่างที่แย่มากของลูก” ปิ่นอนงค์ประชดเสียงเขียวขุ่น
       “อะไรอีกละจ๊ะ ไอ้โตโต้มันไปทำอะไรให้ปิ่นโกรธอีก ไอ้ลูกคนนี้นี่ ทั้งดื้อ ทั้งซน แบบนี้ต้องโดนหวดสักทีสองที”
       ใหญ่ทำเป็นฮึดฮัดรู้แกวทำท่าจะชิ่งหนี ปิ่นอนงค์ดึงไว้
       “ต้องโทษคุณใหญ่นั่นแหละ ปิ่นเคยขอแล้วว่าอย่าสอนโตโต้ให้เล่นเป็นเสือสาง ลูกจะติดนิสัยใช้ความรุนแรง”
       ใหญ่เถียง “เปล่านะ ฉันไม่เคยสอน ก็แค่เล่านิทานให้ฟัง” ใหญ่ลดเสียงพูดอ่อยๆ “ก็แค่นั้น”
       ปิ่นอนงค์มองหน้าใหญ่ ใช้หมัดเด็ด เบ้หน้าทำท่าจะร้องไห้
       “คุณใหญ่ชอบเฉไฉไปเรื่อย ปิ่นโกรธคุณใหญ่แล้ว”
       แล้วพาลน้อยใจเดินหนีไป
       “รู้ว่าฉันทนเห็นน้ำตาไม่ได้ ก็ใช้ไม้นี้ทุกที ปิ่นๆๆ”
       ใหญ่วิ่งตาม
       
       ไม่นานหลังจากนั้นที่กลางทุ่งกว้างทิวทัศน์สวยงาม เห็นฝูงวัวเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลนัก ปิ่นอนงค์ยืนงอนหน้างอง้ำอยู่ ใหญ่ตามมากอดพูดอ้อนสุดชีวิต
       “ฉันผิดไปแล้ว ผัวเมียกันหนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยกันสิ”
       ปิ่นอนงค์หันมา “ก็คุณใหญ่ไม่เคยเชื่อปิ่นเลย ปิ่นอยากให้ลูกเป็นเด็กดี”
       “ต่อไปฉันจะเล่านิทานเรื่องนี้ให้ลูกฟังก็แล้วกัน กาลครั้งหนึ่ง มีสาวใช้ใจดี ทั้งสวย ทั้งน่ารัก ชื่อว่าปิ่นอนงค์ สาวใช้คนนี้ชอบเสียสละตัวเอง รับผิดแทนชาวบ้านไปทั่ว จนใครๆต่างด่าทอว่ายัยคนโง่ แต่ความดีของสาวใช้ก็ชนะใจเสือใหญ่แห่งป่าไพศาลจนยอมถอดเขี้ยวเล็บหมดสิ้น”
       ปิ่นอนงค์ยิ้มขำออกมา พูดเย้า “เสือขี้โม้มากกว่า”
       ใหญ่ทำหน้าเป็นอ้อนคำหวาน “ถึงขี้โม้ก็รักสุดใจนะจ๊ะ”
       ว่าแล้วใหญ่ไล่ก็ปล้ำจะจูบปิ่นอนงค์ โตโต้วิ่งมาเอาปืนจ่อพ่อ
       “หยุดนะ พ่อใหญ่ เป็นผู้ชายห้ามรังแกผู้หญิง”
       ปิ่นอนงค์เอ็ดลูกชายอย่างเอ็นดู “เอาอีกแล้วนะโตโต้”
       พอปิ่นอนงค์ทำท่าจะตี โตโต้หนี ใหญ่รวบตัวอุ้มโตโต้ขี่คอหนีแม่
       
       สามคนพ่อแม่ลูก วิ่งเล่นไล่กันไปมาอยู่ท่ามกลางฝูงแกะ ในทุ่งหญ้าเขียวขจีอันกว้างใหญ่ของไร่ไพศาลอย่างแสนสุข

---------------------------------------------------------------
จบบริบูรณ์


No comments:

Post a Comment